ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องว่ากันด้วยเรื่องที่ไม่ถึงกับ “หนัก” จนเกินไป คือยังไม่ถึงกับ “รบจริง” เป็นแค่การ “ซ้อมรบ” ที่ช่วงหลังๆ นี้ ต้องเรียกว่า...ซ้อมกันอุตลุด ไม่ว่าจะประเทศมหาอำนาจระดับใดต่อระดับใดก็แล้วแต่ แถมยังพยายามฉุดกระชากลากถูเอาบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย ประเทศระดับ “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย เข้าไปร่วมรุมมือ รุมตีน กันอย่างเป็นระบบและกิจการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันอาจหยิบมาใช้เป็น “ภาพสะท้อน” ให้เห็นถึงแนวโน้มความเป็นไปของโลกภายในอนาคตเบื้องหน้าได้มั่ง ไม่มากก็น้อย...
คือตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ (9 ส.ค.) ที่ผ่านมา...ทั้งคุณน้าหมีขาวรัสเซีย และคุณพี่พญามังกรจีน ท่านก็ได้จัดให้มีการซ้อมรบอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า “The Sibu/Cooperation-2021” ขึ้นแถวๆ ภูมิภาคเอเชียกลาง หรือเขตภูมิภาค “Ningxia” หรือแถบมณฑลซินเจียง อันเป็นพื้นที่ที่มักถูกคุณพ่ออเมริกาหยิบมากล่าวหาโจมตี ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอะไรทำนองนั้น ซึ่งต้องถือเป็นการซ้อมรบที่ออกจะ “เอาเรื่อง” พอสมควร คือระดมบรรดาทวยทหารจีนและรัสเซียเข้าร่วมในปฏิบัติการคราวนี้ถึง 10,000 คน ระดมเครื่องบินรบทันสมัยๆ อย่าง “Su-30SM” ของรัสเซียเข้าร่วมด้วย รวมทั้งแลกเปลี่ยนการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ระหว่างจีนและรัสเซีย แบบชนิดแทบจะหลอมให้กลายเป็น “กองทัพเดียวกัน” เอาเลยก็ว่าได้...
แม้ว่าภาพของการซ้อมรบคราวนี้...จะถูกป่าวประกาศอย่างเป็นทางการว่ามุ่งไปในทางเพื่อ “ต่อต้านการก่อการร้าย” ซึ่งจะหมายถึง “ใคร?” ก็ไม่รู้ จะหมายถึงพวก “ตอลิบาน” ที่กำลังจะยึดประเทศอัฟกานิสถานทั้งประเทศ อีกภายใน 90 วัน หรือไม่ อย่างไร ก็คงไม่ถึงกับชัดเจน เพราะสำหรับความหวั่นระแวงในเรื่องการก่อการร้าย การสนับสนุนพวกผู้ก่อการร้าย ประเภทมุสลิมหัวรุนแรงทั้งหลาย ทางฝ่ายรัสเซียที่เคยได้รับผลกระทบจากพวกมุสลิมหัวรุนแรงในแถบคอเคซัสภาคเหนือ หรือในแถบสาธารณรัฐเชเชน เขาก็เพิ่ง “ซ้อมรบ” กับประเทศทาจิกิสถานและอุซเบกิสถาน ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ การรวมมือ รวมตีน ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณน้ารัสเซียคราวนี้ จึงถูก “แปลความหมาย” ว่าคงมุ่งที่จะแสดงให้มหาอำนาจสูงสุดของโลก อย่างคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ได้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ ความแน่นเหนียว อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้ของ 2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ผู้หวังจะ “เปลี่ยนระเบียบโลก” ไม่ให้ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุม บงการของ “มหาอำนาจขั้วเดียว” อีกต่อไป...
ส่วนแถวๆ ตะวันออกกลาง...อย่างคุณทวดอิสราเอลนั้น ช่วงวันพุธ (11 ส.ค.) ที่ผ่านมาก็เพิ่งจัดให้มีการ “ซ้อมรบทางอากาศ” เป็นครั้งแรก ระหว่างกองทัพอากาศอิสราเอล (IAF) กับกองทัพอากาศอเมริกา (AFCENT) โดยตรง โดยปฏิบัติการที่ให้ชื่อไว้ว่า “Desert Eagle” หรือ “เหยี่ยวทะเลทราย” อะไรประมาณนั้น ซึ่งต้องถือเป็นการซ้อมรบทางอากาศที่เกิดขึ้นหลังจากคุณน้ารัสเซียท่านได้เพิ่มความเข้มข้น ยกระดับ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ในซีเรีย จนสามารถเก็บกวาด “จรวด” ของอิสราเอล ที่พยายามยิงใส่ใครต่อใครไม่ว่ากองกำลังอิหร่าน หรือพวกเฮซบอลเลาะห์ในดินแดนซีเรีย ได้แบบ “เกลี้ยง” ไปเป็นแผงๆ จนอาจทำให้ความพยายามที่จะจัดการกับ “ภัยคุกคามอิหร่าน” ที่กำลังเข้ามาเคาะประตูหน้าบ้านอิสราเอล ในแถบที่ราบสูงโกลัน หรือในเลบานอน ชักเป็นอะไรที่ลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ขณะที่ในช่วงกลางๆ เดือนนี้...หรือช่วงระหว่างวันที่ 16-26 สิงหาคม ก็ได้ฤกษ์ ได้เวลาที่ประเทศกิมจิ-เกาหลีใต้ เขาต้องร่วมซ้อมรบประจำปีกับทหารอเมริกัน ซึ่งยังคงประจำการอยู่ในเกาหลีใต้นับเป็นหมื่นๆ และแม้ว่าจะพยายาม “ลดขนาด” และลดความเข้มข้น จากที่เคยตึงตัง โครมคราม ด้วยการระดมบรรดาทหารตัวเป็นๆ ของทั้งสองฝ่าย มาเป็นการฝึกซ้อมทางคอมพิวเตอร์ซะเป็นหลักใหญ่ แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังคงทำให้น้องสาวหัวแก้ว-หัวแหวน ของ “คิม จองอึน” (Kim Jong Un) ผู้นำเกาหลีเหนือ คือ “คิม โย จอง” (Kim Yo Jong) อดไม่ได้ที่จะออกมาด่าว่า ด่าทอ กล่าวประณามการซ้อมรบคราวนี้ ถือเป็นการแสดงออกถึงความพยายามข่มขู่และคุกคามเกาหลีเหนือไปจนได้ หรือถึงกับใช้คำเรียกขานรัฐบาลเกาหลีใต้ที่เพียรพยายามลดอุณหภูมิความขัดแย้ง กระทบกระทั่ง ระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า เป็นอย่างยิ่ง จนสามารถต่อสายพูดคุยเจรจากันในทาง “ฮอตไลน์” ถึงวันละ 2 ครั้ง ว่าเป็น “ผู้ทรยศ” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถึงกับต้องออกมาข่มขู่เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าทั้งอเมริกันและเกาหลีใต้ อาจต้อง “จ่ายราคาแพง” สำหรับการซ้อมรบประจำปีคราวนี้ แม้ว่าฝ่ายเกาหลีใต้จะพยายามลดระดับความน่าเกลียด น่ากลัว ลงไปเพียงใดก็ตาม...
แต่ที่ออกจะน่าสนใจเอามากๆ...เห็นจะเป็นการตระเตรียมซ้อมรบช่วงครบรอบ 20 ปี ของ “SEACAT” หรือ “The Southeast Asia Cooperation and Training” ที่มีกองทัพเรือที่ 7 ของคุณพ่ออเมริกาเป็นหัวหอกนั่นแหละ ที่ว่ากันว่าคราวนี้ หรือปีนี้ จะระดมบรรดาทวยทหารเรือของ 21 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บังกลาเทศ บรูไน แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มัลดีฟ ศรีลังกา ติมอร์ตะวันออก รวมทั้งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย เข้าร่วมปฏิบัติการซ้อมรบในคราวนี้ โดยมีน่านน้ำในทะเลจีนใต้นั่นเอง ที่ถูกกำหนดเป็น “เป้าหมาย” เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย และเกิด “เสรีภาพในการเดินเรือ” โดยจะนำไปสู่การ “จุดชนวนความขัดแย้ง” ทางน่านน้ำ ระหว่างคุณพี่จีนกับประเทศภายในอาณาบริเวณนี้ อย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร อันนั้น...ก็คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ จะกำหนดระยะต่อ ระยะเคียง ระหว่าง “มหาอำนาจคู่แข่ง” ในแต่ละฝ่าย กันในแบบไหน ในลักษณะไหน นั่นแล...
เพราะว่าไปแล้ว...แม้แต่ผู้นำประเทศที่ถูกกำหนดให้เป็น “ศูนย์กลาง” ของปฏิบัติการซ้อมรบคราวนี้ อย่างประเทศสิงคโปร์ ตามคำพูด คำจา ของท่านนายกรัฐมนตรี “ลี เซียนลุง” ที่ได้ร่ายเรียงเอาไว้ในช่วงการประชุมเสมือนจริง ณ เวทีประชุม “Aspen Security Forum” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ต้องเรียกว่า...ออกจะแสดงให้เห็นถึงความ “อึดอัดฉิบหาย!!!” ของบรรดาประเทศเล็กๆ ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคไหนในโลกใบนี้ อันเนื่องมาจากแนวโน้มการปะทะ ขัดแย้ง การเผชิญหน้าระหว่าง “มหาอำนาจคู่แข่ง” ในแต่ละฝ่าย หรือระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียนั่นเอง ที่ไม่เพียงแต่เห็นว่าบรรดานักการเมือง พรรคการเมือง ในอเมริกา ไม่ว่าจะเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็แล้วแต่ ต่างหันไปแสดงความกลัวจีน เกลียดจีน หรือกลัวรัสเซีย เกลียดรัสเซียหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังพยายามแพร่เชื้อโรค “Xenophobia” หรือ “Russophobia” ไปยังบรรดาประชาชนภายในประเทศตัวเอง จนทำให้ความเป็น “คู่แข่ง” ของบรรดามหาอำนาจเหล่านี้ ชักหนักไปทางความเป็น “ศัตรูคู่ปรปักษ์” หนักยิ่งเข้าไปทุกที...
ดังเช่นที่ว่าเอาไว้ว่า... “มันเป็นเส้นบางๆ เอามากๆ ระหว่างการปฏิบัติต่อคู่แข่งหรือกับศัตรูคู่ปรปักษ์ ดังนั้นภายใต้ความพยายามที่จะแข่งขันกันอย่างสุดเหวี่ยง (extreme competition) ของมหาอำนาจทั้งหลาย เราทั้งมวล (หรือชาวโลกทั้งหลาย) ต่างหวังที่จะเห็นการขีดเส้นแบ่งเหล่านี้เอาไว้ให้ชัดเจน...” หรือไม่ให้การแข่งขันมันกลายเป็นการเผชิญหน้าของศัตรูคู่ปรปักษ์กันไปแทนที่ อะไรประมาณนั้น โดยที่ผู้นำสิงคโปร์ท่านให้เหตุผลเอาไว้แบบน่าคิด น่าฟัง มิใช่น้อย เช่น การสรุปว่า โลกใบนี้ได้กลายเป็นโลกแบบพหุภาคี หรือโลกแบบหลายขั้วอำนาจไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มี “ศูนย์กลางสติปัญญา” หรือ “ศูนย์กลางอำนาจ” อยู่เพียงแค่หนึ่งเดียวอีกต่อไป และนั่นเองที่น่าจะทำให้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม ไม่ควรไปดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมุ่งหมายบดขยี้อีกฝ่าย รวมทั้งการเอ่ยวาทะที่น่ารับฟังเอามากๆ นั่นก็คือคำพูดประโยคที่ว่า... “ดังนั้นผมจึงอยากพูดกับทั้งคู่ว่า กดปุ่ม Pause กันเถอะ คิดกันให้รอบคอบก่อนที่คุณจะกดปุ่ม Fast Forward เพราะ...มันอันตรายมาก!!!” ส่วนคำพูดดังกล่าว...จะเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทางหูขวา ของบรรดา “มหาอำนาจ” ทั้งหลายหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...คงพอดูได้จากบรรดาการ “ซ้อมรบ” ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตเบื้องหน้า...นั่นแล...