xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯโหมทูตวัคซีน ขายอาวุธตื๊อไทยเข้าพวก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา


หากจะมองให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ต่อจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปลี่ยนนโยบายทางด้านเอเชียแปซิฟิกแบบหักมุม จากเดิมในรัฐบาลที่แล้วที่ทุกอย่างใช้นโยบาย “อเมริกาเฟิร์ส” หรืออเมริกาต้องมาก่อน ถึงขั้นละเลยพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดในย่านนี้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ถึงขั้นต้องให้ประเทศดังกล่าวเพิ่มค่าใช้จ่ายหากต้องการให้สหรัฐฯ คงกำลังทหารในประเทศ

อย่างไรก็ดี ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่แม้ว่าในหลักการใหญ่ๆ ที่เกี่ยวกับประเทศจีนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้ามกลับยิ่งโหมเผชิญหน้าอย่างเป็นระบบมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า โดยเฉพาะการเร่งหาพันธมิตรในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก สำหรับการเผชิญหน้ากับประเทศจีนใน “ทะเลจีนใต้”

สหรัฐอเมริกาในยุคปัจจุบันถึงกับมีการประกาศถอนทหารออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้งในอิรัก และอัฟกานิสถาน เพื่อมาทุ่มกำลังมาในย่านเอเชียแปซิฟิกดังกล่าว โดยเฉพาะใน “ทะเลจีนใต้” ที่เป็นยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับการเผชิญหน้ากับจีน ที่ได้ประกาศอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าวเกือบทั้งหมด

ที่ผ่านมา สหรัฐฯและชาติตะวันตกกำลังแข่งขันกันมีอิทธิพลในภูมิภาค และทั่วโลก หลังจากที่ประเทศจีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเทียบเคียงกับสหรัฐฯ และกำลังเกิดความตึงเครียดในย่านทะเลจีนใต้ จนนักยุทธศาสตร์บางคนมองว่าเสี่ยงต่อการเกิดสงครามระหว่างสองมหาอำนาจจากสาเหตุความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว นอกเหนือจากกรณีไต้หวัน

สำหรับสหรัฐฯในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้พยายามเริ่มหวนกลับมามีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวจับมือกับบรรดาพันธมิตรฯโดยเฉพาะที่เรียกว่า “กลุ่มคว็อด” ที่มี ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นต้น โดยล่าสุดกลุ่มดังกล่าวร่วมกับกลุ่มชาติตะวันตก ได้เริ่มการซ้อมรบในย่านทะเลจีนใต้ มีการส่งเรือรบล่องเข้ามาจำนวนมาก

นอกเหนือจากนี้ สหรัฐฯได้เริ่มใช้ “การทูตวัคซีน” เพื่อเข้ามาแข่งขันกับประเทศจีน หลังจากปล่อยให้จีนล้ำหน้าในช่วงแรกไปหลายช่วงตัว จากการบริจาควัคซีนให้กับประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศยากจนผ่านทางโครงการโคแวกซ์ของสหประชาชาติ ที่บริจาควัคซีนให้กับประเทศยากจนได้เข้าถึงจำนวนหลายล้านโดส ขณะที่สหรัฐฯในตอนแรกซึ่งเป็นยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กลับกักตุนวัคซีนที่ตัวเองเป็นผู้ผลิตเอาไว้จำนวนเกือบทั้งหมด ไม่ยอมให้ส่งออก

อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะการเพลี่ยงพล้ำทางการทูต รวมไปถึงสถานการณ์โรคระบาดโควิดในประเทศเริ่มคลี่คลายจากกการฉีดวัคซีน จึงต้องมีการส่งออกและการบริจาคขนานใหญ่

ความพยายามในการกลับมายังภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อาเซียน” ที่นอกเหนือจากเรื่อง “การทูตวัคซีน” แล้ว ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ส่งตัวแทนมาเยือนประเทศในภูมิภาคนี้พร้อมเสนอความร่วมมือ และความช่วยเหลือทางทหารอย่างขนานใหญ่ เช่น ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ส่งรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ มาเยือนเวียดนาม เยือนฟิลิปปินส์ ซึ่งที่นี่มีข้อน่าสังเกต คือ ทางประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ได้หันกลับมาร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯอีกครั้ง หลังจากหมางเมินในยุคก่อน รวมไปถึงความร่วมมือกับอินโดนีเซียด้วย ซึ่งประเทศเหล่านี้ ล้วนมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนหมู่เกาะกับจีน

ขณะเดียวกัน หากโฟกัสมาที่ประเทศไทยนั้น ก็คงไม่รอดพ้นไปได้ เพราะสหรัฐฯได้โหมรุกคืบอย่างหนักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “การทูตวัคซีน” หลังจากที่ไม่กี่วันก่อนได้บริจาควัคซีนไฟเซอร์ มาให้ไทยจำนวนกว่า 1.5 ล้านโดส และประกาศว่ากำลังจะบริจาคเพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านโดส พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกจำนวนหนึ่ง

สำหรับการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เรียกว่า “เวียนกันมา” แทบทุกวัน นับเฉพาะที่เป็นช่วงเวลาสำคัญเวลานี้ก็มี เวนดี้ อาร์ เชอร์แมน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา จากนั้นก็มีอุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าพบนายกฯ เพื่อมอบวัคซีนจำนวน 1.5 ล้านโดส ให้ไทย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมนี้ นางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯประจำองค์การสหประชาชาติ ก็ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ โดยฝ่ายสหรัฐฯ ได้นำความระลึกถึงจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน และชื่นชมบทบาทไทยในภูมิภาค และย้ำความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ มาช้านาน รวมไปถึงย้ำอีกว่า สหรัฐฯ จะเพิ่มการบริจาควัคซีนให้อีก 1 ล้านโดส พร้อมมอบเงินช่วยเหลืออีก 5 ล้านเหรียญ สำหรับสนับสนุนการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด ของไทย

นอกเหนือจากนี้ ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่เอกสารว่า ได้อนุญาตขาย “จรวดต่อต้านรถถัง” พร้อมอุปกรณ์ทางเทคนิคอีกหลายรายการให้กับประเทศไทย มูลค่าเกือบสามพันล้านบาท ซึ่งหากนับช่วงเวลา ก็ใกล้เคียง หรือช่วงเวลาเดียวกับที่ไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดสพอดี

นั่นเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มาเป็นแบบ “แพกเกจ” และ “ถี่ยิบ” สำหรับสหรัฐฯ กับภูมิภาคเอเชีย และกับประเทศไทย ที่แน่นอนว่าสำหรับประเทศไทยถือว่ามีความสำคัญทางด้าน “ยุทธศาสตร์” ในภูมิภาคนี้ ที่มหาอำนาจทุกฝ่ายต้องการดึงเข้าไปเป็นพวก และสำหรับสหรัฐฯแล้วความพยายามกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งในแถบนี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับไทย ซึ่งไทยคงต้องจับตาว่าจะรักษาความสมดุลเอาไว้ได้หรือไม่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น