ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ไม่รู้ว่าจะออกไปทาง “เบา” หรือ “หนัก” ซึ่งอาจต้องถือเป็นภาระที่ทั่นๆ ทั้งหลายคงต้องไปชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน แต่ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องวนไป-วนมาอยู่กับเรื่องท่านเชื้อไวรัสโควิดกันอีกนั่นแหละท่าน เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “ช่วงชิงพื้นที่ข่าว” ของโลกทั้งโลก จนแทบไม่เหลือที่ว่างให้กับความเคลื่อนไหว กับเหตุการณ์อื่นๆ ชนิดแม้แต่ข่าวปลอม ข่าวปล่อย ประเภท “คนไทย” ไปเก็บเห็ด “ฝั่งลาว” แล้วโดนจับฉีด “ไฟเซอร์” ก็ยังกลายมาเป็นข่าวคราวกันไปจนได้...
คืออาจเพราะโลกทั้งโลกนั่นแหละ...ไม่ใช่แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ออกอาการ “มึนซ์ซ์ซ์” กันไปเป็นแถบๆ ต่อการรับมือการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ชนิดแทบ “ไปไม่เป็น” ไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้จะยอม “เจ็บ” เพื่อให้ “จบ” ยอมออกมาตรการคุมเข้มกันในระดับต่างๆ ไม่ว่าปิดบ้าน-ปิดเมือง ปิดอาคาร-ร้านค้า ปิดธุรกิจ สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ออก “พาสปอร์ตวัคซีน” ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตามที แต่ไปๆ-มาๆ มันทำท่าว่าไม่น่าจะ “จบ” เอาง่ายๆ ไม่ว่าจะเจ็บแล้ว เจ็บอีก กันในลักษณะไหนก็ตาม...
ด้วยเหตุเพราะท่านเชื้อไวรัส ท่านออกจะเก่งกาจสามารถในการปรับเนื้อ ปรับตัว พัฒนา หรือวิวัฒนาการ จนไม่ว่าจะเป็น “วัคซีนเทพ” หรือ “วัคซีนทิพย์” ชักจะ “เอาไม่อยู่” กันไปเป็นรายๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะ “สายพันธุ์เดลตา” (Delta variant) เท่านั้น ที่กำลังเขย่าโลกทั้งโลกอยู่ในทุกวันนี้ ชนิดไม่ว่าประเทศรวย ประเทศจน ประเทศพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ฯลฯ ต่างต้องหวนกลับไป “คุมเข้ม” ต้องพร้อมที่จะ “อดตาย” ก่อน “ป่วยตาย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังก่อให้เกิดปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตามมา ชนิดปั่นป่วน สับสนวุ่นวายกันไปเป็นประเทศๆ แถมยังอาจต้องเจอกับ “สายพันธุ์” ที่ใหม่กว่า และอาจแรงยิ่งกว่า นั่นก็คือ “สายพันธุ์แลมบ์ดา” (Lambda variant) ที่ว่ากันว่า...อุบัติขึ้นมาแถวๆ ละตินอเมริกา หรือแถวๆ ประเทศเปรู ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และแวบเดียวเท่านั้นก็สามารถแพร่ระบาดไปได้ถึง 28 ประเทศเป็นอย่างน้อยไปแล้วทุกวันนี้...
คือแค่ใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นเอง...สามารถทำให้ชาวเปรูจำนวนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เกิดอาการ “ติดเชื้อ” เพราะสายพันธุ์ดังกล่าว ก่อนที่จะส่งมอบ ส่งต่อ กระจายไปยังประเทศอาร์เจนตินา บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ อังกฤษ สเปน เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส โปรตุเกส รวมทั้งคุณพ่ออเมริกา ฯลฯ จนแม้แต่ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็น่าจะ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เผลอๆ...อาจต้องหันมาควานหากระชายขาว ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ดื่มน้ำขิง น้ำข่า น้ำตะไคร้ ฯลฯ จนกลายสภาพเป็น “ต้มยำกุ้ง” แบบไทยๆ เอาเลยก็ไม่แน่ ถึงจะพออยู่รอดปลอดภัย แม้จะต้องไป “อดตาย” ในภายหลัง หรือหลังจาก “ระบบเศรษฐกิจ” ของแต่ละประเทศมีอันต้องพังพินาศกันไปเป็นแถบๆ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...
อย่างไรก็ตาม...ในการต่อสู้และเอาชนะท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ว่าประเภทกลายพันธุ์-ไม่กลายพันธุ์ ตลอดช่วงระยะที่ผ่านมาคงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า ในประเทศ ในสังคม ที่ออกไปทาง “เผด็จการ” สุดๆ หรือแบบคอมมิวนิสต์ทั้งแท่ง ทั้งด้าม อย่างคุณพี่จีนนั้น โดยลักษณะทางสังคม...ค่อนข้างเป็นอะไรที่เอื้ออำนวยต่อการสู้รบปรบมือกับ “ศัตรูของมวลมนุษยชาติ” ตัวนี้อย่างเป็นพิเศษ คือสามารถทำอะไรต่อมิอะไรโดยไม่มีใครคิดหือ กล้าหือ อย่างที่เคยปิดเมืองทั้งเมือง ไม่ให้ใครออกไปไหนต่อไหน ชนิดผู้คนนับสิบๆ ล้านต้องกอดเข่า เจ่าจุก อยู่ภายในบ้าน แต่ด้วยกรรมวิธีดังกล่าว...กลับสามารถ “เอาอยู่” หรือ “เอาชนะ” เชื้อโรคตัวนี้ได้ในบางระดับ จนสามารถเริ่มต้น “ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ” ให้กลับมาโตดังเดิม ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ...
แม้แต่วัน-สองวันก่อน...ที่เกิดข่าวคราวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ในมณฑล “หูเป่ย” ขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะเป็นการ “ติดเชื้อ” ในระดับ 7 คน 8 คน เท่านั้นเอง แต่คุณพี่จีนท่านถึงกับออกคำสั่งให้ประชากรจำนวนถึง 12 ล้านคน ในเมืองอู่ฮั่น ต้องมาตรวจเชื้อแบบชนิดไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อช่วงวันอังคาร (3 ก.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง การอาศัยความเป็นเผด็จการแบบสุดๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ส่วนรวม” ไม่ใช่เพื่อ “ส่วนตัว” ดังที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเมืองอู่ฮั่น “นายLi Qiang” แกได้สรุปเอาไว้ประมาณว่า... “เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในเมืองจะปลอดภัย การทดสอบอย่างรวดเร็วต่อทุกๆ คน เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกไปจากสังคม ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง...” จึงเป็นอะไรที่ออกจะ “เถียง” ลำบากอยู่เหมือนกัน แม้ไม่น่าถูกใจ ไม่น่าพึงพอใจ สำหรับผู้คนในสังคมประชาธิปไตย หรือประเทศที่เต็มไปด้วย “เสรีภาพ” แต่ไม่ค่อยจะมี “ภราดรภาพ” ทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอการแตะนิด แตะหน่อย คุมนิด คุมหน่อย ก็...เอาแล้ว!!! ต้องออกมาประท้วง ไม่งั้นก็ด่าว่า ด่าทอเสียๆ หายๆ อันเนื่องมาจาก “เสรีภาพส่วนตัว” มันมักไปด้วยกันไม่ค่อยจะได้ กับ “ภราดรภาพส่วนรวม” อะไรทำนองนั้น...
อย่างเช่นประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงกับคุณพี่จีน หรือประเทศญี่ปุ่น ยุ่นปี่ ช่วงนี้...แม้จะมีส่วนช่วยให้โลกทั้งโลกพอได้มีโอกาสซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ กับ “มหกรรมกีฬาโอลิมปิก” ขณะเว้นระยะอยู่ภายในบ้านใคร-บ้านมัน กันไปมิใช่น้อย แต่ก็ด้วยเหตุที่การไหลมา-ไหลไป ของ “กองทัพนักกีฬา” และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องนับจำนวนแสนๆ คน ที่ต้องเข้าไปป้วนๆ เปี้ยนๆ อยู่ในมหกรรมโอลิมปิกเที่ยวนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ กลับกลายเป็นตัวก่อให้เกิดความหวั่นอก หวั่นใจ ของบรรดาชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ว่าหลังจากมหกรรมคราวนี้ผ่านพ้นไปแล้ว มันจะก่อให้เกิด “อภิมหาคลัสเตอร์” อุบัติขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร เกิดการนำเอาเชื้ออัลฟา เบตา แกมมา เดลตา ไปจนถึงแลมบ์ดา เข้ามาผสมปนเปกับการกีฬาประเภทต่างๆ แบบเดียวกับครั้งบรรดาทหารช่วงสงครามโลก นำเอา “เชื้อไข้หวัดสเปน” กลับมาแพร่กระจายในบ้านใคร บ้านมัน จนต้องเกิดการ “ติดเชื้อ” ไปแทบจะครึ่งโลก ค่อนโลก อะไรทำนองนั้น...
และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...ด้วยความกลัว ความหวั่นวิตก ทำนองนี้นี่เอง ที่ทำให้ “รัฐบาลญี่ปุ่น” ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก มีสิทธิ์ที่จะ “พัง...กับ...พัง” ภายในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรือภายใต้การเลือกตั้งทั่วไปที่ยังไงๆ...ย่อมต้องมาถึงภายในเดือนตุลาคมปีนี้ เพราะถ้าว่ากันถึง “ผลสำรวจคะแนนนิยม” ของฝ่ายรัฐบาลพรรค “LDP” (Liberal Democratic Party) หรือของนายกรัฐมนตรี “โยชิฮิเดะ ซูงะ” (Yoshihide Suga) ก่อนหน้ามหกรรมโอลิมปิกเริ่มต้นเพียงแค่ 3 วัน โดยสำนักข่าว “Nikkei” และ “Tv Tokyo” ปรากฏว่าความนิยม ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อรัฐบาลร่วงผล็อยๆ ลงมาเหลืออยู่แค่ 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี “ซูงะ” นั้น มีคะแนนนิยมต่ำสุด นับตั้งแต่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่ารัฐบาลญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะตัดสินใจถูกหรือผิด ดี-ไม่ดี เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร ต่อการเดินหน้าจัดมหกรรมโอลิมปิกคราวนี้ ที่ช่วยให้ชาวโลกมีโอกาสซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ไปด้วยหรือไม่เพียงใดก็ตาม แต่ในเมื่อมันดันไม่เป็นที่ถูกใจ ไม่เป็นที่พึงพอใจต่อชาวญี่ปุ่น ยุ่นปี่ ขึ้นมาซะอย่าง!!! โอกาสที่พรรค “LDP” ซึ่งเคยครองอำนาจในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกโน่นเลย ย่อมมีสิทธิ์หงายเก๋ง หลับกลางอากาศ ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ได้ทุกเมื่อ ต่างไปจากผู้นำจีน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ยังไงๆ...ก็ยังสามารถที่จะยืนหยัดสู้กับเชื้อโควิดได้แบบตลอดชั่วนิจนิรันดร์กาล ความเป็น “เผด็จการ” มันเลยออกจะสอดคล้องกับสภาวะความเป็นไปของโลก ของการแพร่ระบาดจากเชื้อโรคในรูปแบบต่างๆ ยิ่งถ้าหากเป็นเผด็จการที่มุ่งมั่นต่อผลประโยชน์ “ส่วนรวม” ไม่ใช่ “ส่วนตัว” ด้วยแล้ว ยิ่งอาจสบายไป 8 อย่าง จนเผลอๆ...อาจถือเป็น “ผลพวง” ที่ท่านเชื้อไวรัสโควิด ท่านออกแบบดีไซน์มาให้โดยเฉพาะ เอาเลยก็ไม่แน่!!!