เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องวุ่นไป-วุ่นมา อยู่กับเรื่องของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอีกนั่นแหละทั่น!!! โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของบรรดาเชื้อที่ได้รับการวิวัฒนาการกลายพันธุ์ หรือพัฒนาไปเป็น “สายพันธุ์เดลตา” (Delta variant) ในประเทศอินตะระเดีย แล้วกระจัดกระจายไปสู่โลกทั้งโลก ชนิดอ่วมอรทัย กาญจนชูศักดิ์ ไปเป็นแถบๆ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่จำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน พุ่งขึ้นไประดับหมื่นเจ็ด หมื่นแปด อีกไม่กี่วันอาจขึ้นไปถึงสองหมื่น เอาเลยก็ไม่แน่...
โดยจะโยนบาป โยนขี้ ไปให้กับ “บิ๊กตู่” โดยลำพังล้วนๆ...คงไม่น่าจะถึงกับ “แควร์”(แฟร์)กันสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหนนั่นแหละทั่น ล้วนแต่อ่วมอรทัย กาญจนชูศักดิ์ งอมพระราม งอมพระลักษณ์ ไม่ต่างอะไรไปจากกัน กระทั่งประเทศมหาอำนาจสูงสุดระดับโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่แม้จะเก็บกัก กักตุน “วัคซีน” เอาไว้ฉีด เอาไว้อาบ ไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้านโดส มากกว่าจำนวนประชากรของตัวเองไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าเอาเลยด้วยซ้ำ แถมยังเป็นระดับ “วัคซีนเทพ” ที่บรรดาผู้คนในบ้านเราจำนวนไม่น้อย กระสันหาซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นประเภทไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา อะไรทำนองนั้น ถึงขั้นต้องบินไปฉีดกันถึงอเมริกา ต้องเร่งเร้า เรียกร้องให้รัฐบาลตัวเอง หาเอามาฉีดแทน “วัคซีนเซินเจิ้น” หรือวัคซีนประเภทซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ของคุณพี่จีน ที่ไม่ว่ามีประสิทธิภาพ-ไม่มีประสิทธิภาพระดับไหนก็ตาม แต่ค่อนข้างที่จะใจใหญ่ ใจกว้าง พร้อมที่จะงัดเอามา ต่อป“บริจาค” ระเทศไหนๆ ในฐานะ “เกราะป้องกันเบื้องต้น” มาตั้งแต่แรก....
แต่มาถึงทุกวันนี้...ไม่ว่าฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดแล้วยังแถมเงิน แถมของชำร่วย ให้ซะอีกต่างหาก แต่จำนวนผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา รวมทั้งจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ฯลฯ ในอเมริกา กลับไม่ได้ช่วยให้เกิดการหยุดยั้ง “การแพร่เชื้อ” ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตามากมายสักเท่าไหร่นัก คือแค่พอช่วยให้ไม่ถึงกับ “ป่วยง่าย-ตายเร็ว” ลงไปได้มั่งเท่านั้น แต่ในแง่ของการแพร่ การระบาด โดยเฉพาะภายหลังจากที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย พร้อมใจกัน “ถอดหน้ากาก” และไม่คิดจะ “เว้นระยะห่าง” ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวันของอเมริกาทุกวันนี้ ได้เด้งกลับแบบพรวดๆ พราดๆ ชนิดแทบไม่ต่างไปจากช่วงปลายปีที่แล้ว หรือช่วงที่กำลังคว้าตำแหน่ง “แชมป์โรค” เอามาครอง โดยมิอาจมีประเทศหนึ่ง ประเทศใด ไล่กวด ไล่ตาม ได้เลยแม้แต่น้อย คือปาเข้าไประดับวันละห้าหมื่น หกหมื่น เจ็ดหมื่น แปดหมื่น หรืออาจใกล้ๆ วันละแสนราย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้..
หรือทำให้หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรคระบาด อย่าง “CDC” (The Center for Disease Control and Prevention) ที่เคยออกมา “เปิดไฟเขียว” ก่อนหน้านั้น ว่าบรรดาผู้ที่ฉีด “วัคซีนเทพ” ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากภายในตัวอาคาร หรือไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างใดๆ อีกต่อไป แต่มาคราวนี้...หรือคราวล่าสุด เมื่อช่วงวันอังคาร (27 ก.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ตามเอกสารรายงานการศึกษาครั้งล่าสุด หรือตามคำแถลงของผู้อำนวยการ “CDC” “ดร.Rochell Walensky” ได้ยืนยันเอาไว้อย่างเป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ว่าผู้ที่ฉีด-ไม่ฉีดวัคซีนเทพไปแล้วหรือไม่ อย่างไร ก็ตาม แต่ล้วนแล้วสามารถแพร่เชื้อ และติดเชื้อ ท่านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ได้ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อประมาณ 2 ใน 3 ที่กำลังอุบัติขึ้นมาในอเมริกาทุกวันนี้ ก็คือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนเทพไม่ว่าเข็มหนึ่ง เข็มสอง มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่สุดท้าย...ก็ยังต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อ และแพร่เชื้อ จนเหลือแต่สิ่งสุดท้ายที่พอจะช่วยป้องกัน ป้องปราม การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าวเอาไว้ได้มั่ง ก็คือการหมั่น “สวมหน้ากาก” เอาไว้สัก 2 ชั้น 3 ชั้น...นั่นเอง...
และนั่นเอง...ที่ทำให้ผู้บริหารกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เลยต้องออกคำสั่งเร่งด่วน ประกาศใช้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 31 ก.ค.เป็นต้นไป ให้ใครก็ตามที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ต้องสวมหน้ากากปิดปาก ปิดจมูก เอาไว้เสมอๆ แม้จะอยู่ในอาคารสถานที่ใดๆ ก็แล้วแต่ยกเว้นให้แต่ตอนเอาอาหารยัดปาก หรือดื่มน้ำเท่านั้น ที่พอจะถอดหน้ากากได้มั่ง หรือต้องย้อนกลับไปสู่การใช้มาตรการ “คุมเข้ม” แบบเดิมๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ด้วยเหตุเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา สามารถติดง่าย ติดเร็ว ไม่น้อยกว่าเชื้อไวรัส “varicella” หรือเชื้อไวรัส “อีสุกอีใส” และยังไม่มี “วัคซีน” ตัวใด ที่จะหยุดยั้งขีดความสามารถของเชื้อไวรัสตัวนี้ ได้อย่างที่คาด ที่หวัง เอาไว้เลย...
ดังนั้น...สิ่งที่บรรดา “รัฐบาล” ประเทศต่างๆ พยายามตั้งเป้า ตั้งทิศทาง แนวทาง โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “วัคซีน” นี่แหละเป็นมาตรฐาน ในการรับมือเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ชักทำท่าว่าอาจไม่ตอบสนองต่อเป้าหมาย ต่อความปรารถนาความต้องการ ได้อย่างถนัดชัดเจนมากมายสักเท่าไหร่ คือการอาศัย “จำนวน” และ “ปริมาณ” ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปเรียบร้อยแล้ว เป็นจุดเริ่มต้นในการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถกลับมา “ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ป้องกันไม่ให้ “ความกลัวป่วยตาย” กลายเป็นตัวนำมาซึ่ง “การอดตาย” เอาง่ายๆ ถึงขั้นต้องบังคับให้ฉีดวัคซีน หรือฉีดแล้วแถมเงิน แถมของชำร่วย ไปจนถึงกับต้องออก “พาสปอร์ตวัคซีน” เพื่อกีดกันใครก็ตามที่ไม่คิดจะฉีดวัคซีนกันโดยเฉพาะ ฯลฯ แต่สุดท้าย...เมื่อสิ่งที่เรียกว่า “วัคซีน” กลับไม่ได้ถือเป็น “คำตอบ” ของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้เป็น “มาตรฐาน” แบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด อันนี้นี่แหละ...ที่จะยิ่งทำให้การ “อดตาย” การคิดฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ยิ่งต้องลำบาก หรือยิ่งซับซ้อน ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
อีกทั้งยังทำให้ “ความเห็นแก่ตัว” เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่ผู้คนพลเมืองของตัวเองเอาไว้ก่อน...จนก่อให้เกิดการกักตุนวัคซีนของประเทศรวยๆ เอาไว้ฉีด เอาไว้อาบกันเป็นประเทศๆ ยังไม่ได้ถึงกับช่วยให้ประเทศนั้นๆ สามารถอยู่รอดปลอดภัยกันได้สบายๆ เพราะบรรดาประเทศจนๆ ที่ไม่มีวัคซีน ไม่ได้รับการบริจาค หรือได้รับการส่งมอบแบบช้าแล้ว ช้าอีก ก็จะกลายเป็นตัวแพร่เชื้อ ติดเชื้อ หรือเป็นตัวสร้าง “กระบวนการวิวัฒนาการ” ของ “สายพันธุ์ใหม่ๆ” ที่บรรดาวัคซีนแต่ละตัวยิ่งมิอาจ“เอาอยู่” ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นประเทศในแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังแพร่เชื้อ ติดเชื้อชนิดงอมพระราม งอมพระลักษณ์ กันไปเป็นแถบๆ...
โดยเฉพาะประเทศที่ดันต้องเจอเรื่อง “การเมือง” เข้ามาแทรก เข้าผสมโรง อย่างประเทศพม่าด้วยแล้ว ใครก็ตามที่ได้ฟังคำแถลงของทูตถาวรอังกฤษประจำยูเอ็น “นางBarbara Woodward” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (29 ก.ค.) ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นต้องขนหัวลุก ขนคอตั้งกันไปเป็นแถบๆ ยิ่งเป็นประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศไทยด้วยแล้ว เพราะการระบุว่าภายในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า โอกาสที่ชาวพม่า เมียนมาที่กำลังเอาแพ้-เอาชนะกันระหว่าง “ฝ่ายเผด็จการ” กับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” อาจต้องกลายเป็น “ผู้ติดเชื้อ” ไวรัสโควิด ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรภายในประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 54 ล้านคน หรืออาจต้องติดเชื้อกันในระดับยี่สิบ สามสิบล้านคน เอาเลยถึงขั้นนั้น อันเนื่องมาจาก “ระบบสาธารณสุข” ของประเทศกำลัง “ล่มสลาย” หรือสามารถทำงานได้แค่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของระบบเท่านั้น...
อันนี้นี่แหละ...ไม่ว่าจะฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดไฟเซอร์ ฉีดโมเดอร์นา หรือจะฉีดอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากดันต้องเฉียดไป-เฉียดมา กับคนอินตะระเดีย คนพม่า ฯลฯ ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ โอกาสที่จะติดเชื้อ แพร่เชื้อ ชนิดงอมๆ แงมๆ ไปทั่วทั้งโลก ไม่ว่าประเทศรวย ประเทศจน ประเทศซีกโลกเหนือ ซีกโลกใต้ ฯลฯ ย่อมเป็นไปได้ด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจาก “ศัตรูที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ” อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ท่านแทบไม่ได้สนใจว่าใครเป็น “ประชาธิปไตย” ใครเป็น “เผด็จการ” ใครเป็น “คอมมิวนิสต์” ใครเป็น “ทุนนิยมเสรี” ขอให้เป็น “มนุษย์” ที่ดันเอ้อเร้อเอ้อเต่อ ไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดจะเว้นระยะห่าง ย่อมมีสิทธิถูกลากไปรับประทาน มีสิทธิ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง นั่นแล...