เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องไปว่ากันเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” กันอีกนั่นแหล่ะทั่น!!! ด้วยเหตุเพราะหลังๆ นี้ มันช่างเป็นอะไรที่อุตลุด ชุลมุน เสียเหลือเกิน แค่เฉพาะ “บ้านเรา” ก็ก่อให้เกิดอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง หูแหก-ตาแหก กันไปเป็นแถบๆ เพราะจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ระดับปาเข้าไปวันละกว่า 8 พัน 9 พันคน ไม่คิดจะหัวตก เหี่ยวปลาย ลงไปซะที เลยทำให้แทบทุกสิ่งทุกอย่าง...เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก ยิ่งเข้าไปเรื่อยๆ...
ไม่ต่างไปจาก “บ้านใกล้-เรือนเคียง” อย่าง “เสือเหลือง-มาเลย์” ที่ติดเชื้อกันเป็นหมื่นๆ เข้าไปแล้ว หรือกระทั่ง “จอมพลิกล็อก-อินโดนีเซีย” ที่ดันพลิกกลับมาติดเชื้อแซงหน้าอินตะระเดียปาเข้าไปวันละ 5 หมื่น 6 หมื่นคน เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่มาคราวนี้ หรือสัปดาห์นี้...คงไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาประเทศจนๆ ประเทศกำลังพัฒนา ในภูมิภาคเอเชียของหมู่เฮาเท่านั้น ที่ต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อย่างที่เห็นๆ เพราะเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อประมาณวันศุกร์ที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมานี่เอง ประเทศรวยๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ในซีกโลกภาคเหนือ อย่างบรรดาอียู อีย้วย หรือประเทศในยุโรปทั้งหลาย ก็เริ่มมีข่าว มีการคาดการณ์ ประมาณการถึงโอกาสที่จะเกิดอาการเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ “เดลตา” ในช่วงระยะอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ไม่ต่างไปจากประเทศเอเชียทั้งหลาย หรือเผลอๆ...อาจจะหนักกว่า เอาเลยก็ไม่แน่!!!
คือการคาดการณ์ ประมาณการที่ว่า...ปรากฏอยู่ในเอกสารรายงานขององค์กรด้านควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในยุโรป อันมีที่ตั้งอยู่ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน หรือองค์กร “The European Center for Disease Prevention and Control” หรือ “ECDC” ซึ่งได้รับการเผยแพร่ไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า อาจด้วยเหตุเพราะบรรดาประเทศรวยๆ อย่างประเทศยุโรปทั้งหลาย ที่มีเงิน-มีทองพอที่จะเก็บกัก “วัคซีน” เอาไว้ฉีด เอาไว้อาบ ให้กับผู้คนภายในประเทศตัวเอง ชนิดบางรายกักตุนเอาไว้ระดับ 2 เท่า 3 เท่า ของจำนวนประชากรภายในประเทศตัวเองเอาเลยก็ยังมี ดังนั้น...เมื่อแต่ละประเทศต่างหันไปไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไล่ฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองตัวเอง ตั้งแต่เข็มแรก เข็มสอง เข็มสาม กันไปตามลำดับ หรือมีอัตราการฉีดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48.1 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วก็ว่าได้ ต่างก็เลยย่ามใจ มั่นอก มั่นใจ ว่าสามารถต่อสู้เอาชนะเชื้อโควิด ได้อย่างชนิดเรียบร้อยโรงเรียนยุโรปได้ไม่ยาก และต่างก็เลยเกิดอาการ “การ์ดตก” หรือไม่คิดจะ “ตั้งการ์ด” อีกต่อไป คิดหันมา “ปลดล็อก” หันมาเลิกมาตรการควบคุมต่างๆ ไม่ว่าสวมหน้ากาก-ไม่สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง-ไม่เว้นระยะห่าง ไปจนถึงเปิดบาร์ เปิดภัตตาคาร ให้ใครต่อใครสามารถดื่ม-กินได้โดยอิสระและเสรี แบบเดียวกับที่ประเทศอังกฤษของนายกฯ หัวกระเซิง “บอริส จอห์นสัน” กำลังเจริญรอยตาม ป่าวประกาศให้นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 ก.ค.นี้ ถือเป็น “วันแห่งเสรีภาพ” หรือ “Freedom Day” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อันนี้นี่เอง...ที่เลยทำให้องค์กรควบคุมการแพร่ระบาดแห่งยุโรป หรือ “ECDC” เขาเลยต้องออกมาคาดการณ์ ประมาณการถึงแนวโน้มการแพร่ระบาด หรือการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในยุโรป ภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หรือภายในไม่เกินวันที่ 1 สิงหาคมของปีนี้ ว่าน่าจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ เนื่องมาจากท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ท่านได้ปรับตัว ปรับใจ และปรับสภาพให้กลายเป็น “สายพันธุ์เดลตา” ที่ไม่ว่าจะเป็น “วัคซีน” ตัวใด ก็น่าจะ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เกิดการลดภูมิคุ้มกัน ป้องกัน ลงไปประมาณ 2 เท่า 3 เท่า ไปจนถึง 5 เท่า 6 เท่า เอาเลยก็ยังมี คือไม่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้ “ติดเชื้อ” แต่อาจพอช่วยไม่ให้เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ลงไปก่อนกำหนดการเท่านั้นเอง อย่างประเภทลูกเรือแห่งเรือบรรทุกเครื่องบิน“HMS Queen Elizabeth” ของอังกฤษ อะไรประมาณนั้น ที่แม้จะฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปถึง 2 เข็มซ้อนๆ ครบจำนวน 1,600 คน เท่าที่อยู่ภายในลำเรือ แต่หลังจากเข้าไปเทียบท่าที่ประเทศไซปรัส ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-5 ก.ค.ที่ผ่านมา พอกลับมาตรวจเชื้ออีกรอบ ก็พบว่าจำนวนลูกเรือที่ติดเชื้อโควิด มีมากถึงกว่า 100 ราย โดยระหว่างนั้นจะ “แพร่เชื้อ” ไปให้กับประธานาธิบดีไซปรัส ที่ขึ้นมาแวะเยี่ยมลูกเรือ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้...
ด้วยภาวการณ์ติดเชื้อของไวรัสโควิด สายพันธุ์เดลตา ที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงเอามากๆ นี่เอง...ที่ทำให้องค์กร “ECDC” เขาเลยประเมินเอาไว้ว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อในบางประเทศยุโรป เช่น นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ที่เคยติดกันในระดับ 90 รายต่อประชากร 100,000 คน แต่คาดว่า...นับจากวันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป จะเด้งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมาได้ถึงไม่น้อยกว่า 420 รายต่อประชากร 100,000 คน หรือเพิ่มขึ้นมาประมาณ 5 เท่า เป็นอย่างน้อย ส่วนประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ ที่แทบไม่ได้คิดจะ “ตั้งการ์ด” เอาเลยในทุกวันนี้ อาจบานปลาย ปลายบาน ยิ่งไปกว่านั้น คืออาจเกิดการติดเชื้อ แพร่เชื้อในระดับ 622 รายต่อประชากร 100,000 คนเอาเลยก็ไม่แน่ หรือสามารถทำให้ผู้คนพลเมือง กลายเป็นผู้ติดเชื้อ แพร่เชื้อ ได้ไม่น้อยกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ภายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม แม้แต่ประเทศเล็กๆ อย่างไซปรัสที่มีประชากรแค่ประมาณ 1.2 ล้านคน แต่เมื่อระดับประธานาธิบดีเกิดความมั่นใจ เชื่อใจ หรือย่ามใจ ขึ้นไปเยี่ยมลูกเรืออังกฤษกันถึงที่ จำนวนผู้ติดเชื้อในไซปรัสทุกวันนี้ หรือเมื่อช่วงวันอังคารที่ 13 ก.ค.มันเลยพุ่งขึ้นไปเป็นวันละ 1,081 คน ยอดสะสมปาเข้าไป 86,185 ตายไปแล้ว 382 คน และยังอาจหนักกว่านั้นขึ้นไปอีก คืออาจติดเชื้อเพิ่มไปถึง 7 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร นับจากเดือนสิงหาฯ เป็นต้นไป...ฯลฯ ฯลฯ...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าประเทศรวย-ประเทศจน ประเทศซีกโลกเหนือ-ซีกโลกใต้ ประเทศพัฒนาแล้ว-หรือกำลังพัฒนา ฯลฯ ต่างก็น่าจะ “งอมพระราม” ไปด้วยกันทั้งสิ้น อเมริกาที่เกิดการหวนกลับมาติดเชื้อวันละ 23,000 คน เพิ่มกว่าเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้วเกือบครึ่งต่อครึ่ง ไม่ว่าในแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก ฟลอริดา อะแลสกา ยูทาห์ แอละบามา ฯลฯ อันเนื่องมาจากความเชื่อว่าสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการไล่ฉีด ไล่จิ้ม “วัคซีนเทพ” อย่างไฟเซอร์และโมเดอร์นาไปแล้วถึง 58.8 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร แต่สุดท้าย...แม้ว่าอาจพอช่วยไม่ให้เกิดการเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง เกิดการตายโหง ตายห่า เหมือนก่อนๆ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่จะต้องเข้ารับการรักษาเยียวยาในโรงพยาบาลแต่ละแห่ง มีแต่เพิ่มกับเพิ่ม หรือปาเข้าไปประมาณ 13,200 รายภายในช่วงสัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง เรียกว่า...เริ่มเกิดอาการเตียงล้น เตียงขาด แบบบ้านเราขึ้นมามั่งแล้ว...
ที่หนักหนา-สาหัสยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือก่อให้เกิด “ผลกระทบ” ตามมา โดยเฉพาะในด้าน “เศรษฐกิจ” ที่บรรดาเครื่องยนต์แต่ละเครื่องของเศรษฐกิจโลก ต่างหนีไม่พ้นต้องออกอาการ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ไปเป็นแถบๆ ขณะที่ “เศรษฐกิจอเมริกา” กำลังต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อ “เศรษฐกิจจีน” ที่สามารถเอาชนะเชื้อโควิดได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับทำท่าอาจต้องเจอกับภาวะชะลอตัว ไม่อาจติดเครื่อง เร่งเครื่อง ช่วยให้ประเทศอื่นๆ พลอยรอดตามไปด้วย ยิ่งต้องมาเจอกับ “เศรษฐกิจยุโรป” ที่ซึมกระทือมานานแล้ว แต่กลับมีแนวโน้มว่าอาจต้องซึมกระทือหนักยิ่งขึ้นไปอีก อันเนื่องมาจากตัวเลขการแพร่ระบาด ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ แพร่เชื้อ ที่กำลังเพิ่มขึ้นๆประมาณ 4 เท่า 5 เท่า ในอีกไม่นานนับจากนี้ ตามการประมาณการขององค์กร “ECDC” หรือสรุปว่า...เครื่องยนต์เศรษฐกิจแทบทุกเครื่อง ต่างออกอาการ “ช็อต” ไปด้วยกันทั้งสิ้น อันนี้นี่แหละ...ที่มันจะทำให้ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังตามมา อาจเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งไปกว่าที่เคยจินตนาการ ที่เคยประมาณการเอาเลยก็เป็นได้!!!