ช่วงระหว่างนี้...ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีใคร? ที่ยังพอหลงเหลือแรงกระตุ้น แรงบันดาล ในการร่อนไป-ร่อนมา แวะไปดูความเป็น-ไปใน “บ้านอื่น-เมืองอื่น” ความเป็นไปของโลก เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาหรือไม่? อย่างไร? เพราะแค่เจอกับ “ตัวเลขผู้ติดเชื้อ” ของ “บ้านเรา” ชนิดหวิดๆ เหยียบวันละเป็นหมื่น ขาดอยู่แค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง ก็แทบหมดเรี่ยว หมดแรง แทบไม่อยากคิดจะสนใจอะไรต่อมิอะไรในโลกอีกต่อไปแล้ว...
แต่ก็นั่นแหละ...จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ ที่มันมาแรงแซงโค้งเอามากๆ สำหรับบ้านเราในทุกวันนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะความ “นะจ๊ะ...นะจ๊ะ” ของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” โดยลำพังแต่เพียงเท่านั้น เพราะมันเป็นไปหมด แทบทั่วเอเชียทั้งเอเชียเอาเลยก็ว่าได้ หลังจากที่แต่ละประเทศมีอันต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ของท่านเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างสายพันธุ์ “เดลตา” (Delta variant) ที่ว่ากันว่า ออกจะรวดเร็วและรุนแรงเอามากๆ เพราะขณะที่บรรดาประเทศในยุโรป อเมริกา หรือประเทศรวยๆ ทั้งหลาย ที่มีเงิน-มีทอง มีพลังอำนาจในการเก็บกัก “วัคซีน” เอาไว้ฉีดผู้คนภายในประเทศชนิดเข็มสอง เข็มสาม แล้วยังเหลือพอที่จะฉีดเข็มสี่ เข็มห้า เข็มหก หรืออีกไม่รู้กี่เข็มต่อกี่เข็มเอาเลยก็ยังได้ เรียกว่า...เหลือจนแทบไม่มีที่เก็บ ต้องคิดๆ เอามา “บริจาค” หรือเอามา “หากล่อง” แทน “หาเงิน” ไปพลางๆ บรรดาประเทศในเอเชียโดยส่วนใหญ่ ที่ยังอยู่ในระดับกำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนาเอาเลยก็ยังมี ถ้าว่ากันถึง “อัตราโดยเฉลี่ย” สำหรับขีดความสามารถในการฉีดวัคซีนให้กับผู้คนภายในประเทศตัวเอง เห็นว่า...อยู่ที่ประมาณ 0.2 โดส ต่อผู้คน 100 คน หรือแค่ประมาณ 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง!!!
ดังนั้น...ถ้าหากคิดจะสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ให้กับบรรดาชาวเอเชียทั้งมวล อย่างมีประสิทธิผล ประสิทธิภาพกันจริงๆ ตามมาตรฐานทางการแพทย์ นั่นคือการฉีดวัคซีนให้กับผู้คนไม่น้อยไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 23 เดือน หรือประมาณเกือบ 2 ปีเอาเลยโน่นแหละ ด้วยเหตุนี้...เมื่อดันต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เจอกับสายพันธุ์ “เดลตา” เข้าแบบจะจะจังๆ ก็เรียกว่า...เอเชียทั้งเอเชียนั่นแหละ ที่เริ่มออกอาการ “เดี้ยง” กันไปเป็นแถบๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาโดยลำพังแต่เพียงเท่านั้น ขนาด “เกาหลีใต้” ที่ออกจะรวยมิใช่น้อย ไม่ใช่รวยแต่มะเขือเหมือนประเทศเอเชียอื่นๆ โดยทั่วไป สามารถปฏิบัติการเชิงรุก ไล่ฉีด ไล่ทิ่ม ไล่จิ้มวัคซีนให้ใครต่อใครในประเทศตัวเองมาโดยตลอด แต่ล่าสุด...ตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังพุ่งไปถึง 1,212 ราย หรือระดับสูงสุด เมื่อเทียบกับการแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา...
ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินตะระเดีย อินโดนีเซีย หรือเสือเหลืองมาเลย์ ฯลฯ ที่อยู่ติดๆ กับบ้านเรา ต่างออกอาการไม่ต่างไปจากไทยแลนด์ แดนสยาม มากมายสักเท่าไหร่ คือจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อมัน “เด้ง” กลับมา จนแต่ละประเทศต้องหวนกลับมาใช้ “มาตรการคุมเข้ม” ต่างๆ นานา เพื่อรับมือการระบาดระลอกใหม่ ต้องล็อกโน่น ล็อกนี่ ต้องล็อกดาวน์กันจริงๆ หรือเซมิ ล็อกดาวน์ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป โดยสิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ในช่วงนี้ ก็คือ...ท่ามกลางสภาพเช่นนี้ อาจส่งผลให้ “แนวโน้มความเป็นไปทางเศรษฐกิจ” ในระดับโลกทั้งโลก ที่จำต้องอาศัย “ศูนย์กลางแห่งห่วงโซ่อุปทาน” อันมักมีที่ตั้งอยู่ในบรรดาประเทศเอเชียโดยส่วนใหญ่ อาจพลอยต้องซึมกระทือ กลายเป็นนกถึดทือ ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ยังมิอาจสรุปได้...
คือก่อนหน้านั้น...ต้องยอมรับว่า การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสำนักไหนต่อสำนักไหน ออกจะเป็นไปใน “แง่บวก” อยู่พอสมควร คือเริ่มมองเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาบ้างแล้วไม่มาก-ก็น้อย ถึงขั้นทำให้การคาดการณ์ถึง “แนวโน้มราคาน้ำมัน” ช่วงปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2022 ว่ากันว่าอาจพุ่งกลับไปแตะที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหมือนก่อนๆ เอาเลยก็เป็นได้ แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับการระบาดระลอกใหม่ของของสายพันธุ์ “เดลตา” ที่ลุกลามไปทั่วทั้งเอเชีย เข้าแบบจะจะจังๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ดูจะออกไปทาง “ปราสาททรายภูเก็ต” หรือ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้!!!
โดยถ้าหากมองจากดัชนีชี้วัดด้านการซื้อ-การขาย หรืออาจเรียกว่า “คู่มือการบริหาร” ที่หน่วยงานเอกชน อย่าง “Markit purchasing manager’s index” หรือ “PMI” เขาได้สรุปเป็นรายงานชนิดเดือนต่อเดือน แนวโน้มทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในเอเชีย ล้วนแล้วแต่หัวทิ่ม-หัวตำไปด้วยกันทั้งสิ้น ดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจในมาเลเซีย ที่เคยพุ่งกลับไปถึง 51.3 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พอมาถึงช่วงเดือนมิถุนาฯ หรือช่วงที่ต้องเจอกับสายพันธุ์ “เดลตา” เข้าแบบจะจะจังๆ ตัวเลขดัชนีที่ว่า หล่นลงไปเหลือแค่ 39.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อินตะระเดียที่เคยทำท่าว่าเริ่มจะขยับเนื้อ ขยับตัว อีนี่แขกกำลังกลับมาแล้ว...นะนายจ๋า อะไรทำนองนั้น คือเคยขึ้นไปถึง 50.8 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาฯ กลับตกจากหอ คอย่น หล่นลงมาเหลือแค่ 48.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมิถุนาฯ เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่ขึ้นไปถึง 50.0 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาฯ ตกลงมาอยู่ที่ 44.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมิถุนาฯ แม้แต่คุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ ที่กำลังไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีนใครต่อใครกันอุตลุดเพื่อรับมือกับความเป็น “เจ้าภาพโอลิมปิก-2020” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากตัวเลขที่เคยขึ้นไปถึง 53.0 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาฯ ยังหนีไม่พ้นต้องหล่นมาอยู่ที่ 52.4 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา...ฯลฯ ฯลฯ...
คือสรุปว่า...ทั่วทั้งเอเชียเอาเลยโน่นแหละ ที่ต่างต้องหัวทิ่ม-หัวตำกันไปเป็นแถบๆ เหลือแต่เพียง “คุณพี่จีน” รายเดียวเท่านั้นที่ยังคงมาแรงแซงโค้ง อันเนื่องมาจากขีดความสามารถในการรับมือกับท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ว่าระลอกไหนต่อระลอกไหนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลเอามากๆ และด้วยเหตุที่ถือเป็นแหล่งรวมของบรรดาบรรษัทธุรกิจประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย การดำรงขีดความสามารถในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิดของคุณพี่จีน จึงแทบไม่ต่างไปจากการดำรงขีดความสามารถในการ “พลิกฟื้น” แนวโน้มเศรษฐกิจ ในระดับโลกทั้งโลกควบคู่ไปด้วย หรือกลายเป็นตัวการสำคัญในการชี้ชะตาแนวโน้มเศรษฐกิจ ภายในอนาคตอันใกล้ ว่าจะฟื้น-ไม่ฟื้น ในรูปไหนต่อรูปไหน ในแบบตัว V ตัว L หรือตัว K ก็แล้วแต่จะว่ากันไป คล้ายๆ กับเมื่อครั้งเกิด “วิกฤตการเงิน” ในอเมริกาและยุโรป เมื่อไม่นานที่ผ่านมา อะไรทำนองนั้น...
ดังนั้น...ไม่ว่าจะเกลียดจีน กลัวจีน กันในลักษณะไหนก็ตาม แต่โอกาสที่จะไปปฏิเสธ คัดค้าน ต่อต้าน ไปจนกระทั่งปิดล้อมบทบาทของประเทศจีน โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ จึงเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเข้าท่า หรือเข้าเรื่อง สักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในโลกที่ยังคงมีความผิดแผกแตกต่าง แบบหน้ามือกับหลังตีน ระหว่าง “ประเทศรวย-ประเทศจน” “โลกเหนือกับโลกใต้” “ประเทศที่พัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนา” ไปจนถึง “ความรวยกับความจน” ภายในแต่ละประเทศ แต่ละสังคม ที่ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วย “ช่องว่าง” มากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ เพราะอย่างน้อย...ไม่เพียงแต่การต่อสู้และเอาชนะเชื้อไวรัสโควิดได้แบบชนิดเบ็ดเสร็จ-เด็ดขาด คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ก็ประเทศคุณพี่จีนเขาอีกนั่นแหละ...ที่สามารถต่อสู้และเอาชนะ “ความจน” ชนิดส่งผลให้ผู้คนนับร้อยๆ ล้านคนภายในประเทศตัวเอง สามารถหลุดพ้นจาก “เส้นมาตรฐานความจน” ของสหประชาชาติ กลายมาเป็นคอมมิวนิสต์ที่ใส่เสื้อแบรนด์เนม มีมือถือพกติดตัวกันคนละสองเครื่อง สามเครื่อง ยกระดับตัวเองขึ้นเป็น “ชนชั้นกลาง” ไม่ว่าระดับล่าง หรือระดับบนก็แล้วแต่ โดยอาศัยอุดมการณ์ อุดมคติ ที่เคยปลูกสร้าง สะสมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล และอย่างมิอาจปฏิเสธความเป็นตัวตนแบบจีนๆ หรือแบบ “ทุนนิยมที่ลักษณะเฉพาะ” ได้อีกต่อไป...นั่นแล...