ปิดฉากสัปดาห์นี้...แบบเบาๆ-สบายๆ ด้วยข่าวคราวที่ออกไปในเชิงสร้างสรรค์ หรืออาจช่วยให้เกิดการมองโลกในแง่บวกได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย คืออย่างที่ว่าไว้แล้วเมื่อวันวานนั่นแหละทั่น ว่าขนาด “ศัตรูของมวลมนุษยชาติ” อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สุดท้าย...เมื่อความจริง ข้อเท็จจริง เป็นตัวบังคับให้มวลมนุษย์ทั้งหลาย จำต้อง “อยู่ร่วมกัน” กับเชื้อไวรัสตัวนี้ไปอีกตราบนานเท่านาน การปรับตัว ปรับใจ และปรับทัศนคติและท่าทีของบรรดาประเทศต่างๆ ไปในแนวนี้ จึงเริ่มปรากฏให้เห็นมากบ้าง-น้อยบ้างไปตามสภาพ...
ด้วยเหตุนี้...ระดับมนุษย์อุจจาระเหม็นด้วยกันเอง แม้จะผิดแผกแตกต่างกันไปมั่ง จะด้วยความเป็น “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” หรือความเป็น “ทุนนิยม” กับ “คอมมิวนิสต์” ก็แล้วแต่จะเรียก แต่สุดท้าย...คงต้องหาทาง “อยู่ร่วมโลก” กันต่อไปให้จงได้นั่นแหละ ถึงน่าจะเหมาะสม สอดคล้องกับความจริง ข้อเท็จจริง อย่างมิอาจปฏิเสธ ดังนั้น...ข่าวคราวว่าด้วยการประชุมสุดยอดทางไกล ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของ 3 ผู้นำโลก อย่างผู้นำฝรั่งเศส “นายเอ็มมานูเอล มาครง” ผู้นำเยอรมนี “นางอังเกลา แมร์เคิล” และผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เมื่อช่วงวันจันทร์ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา จึงถือเป็นเรื่องน่าสนใจและน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา อันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความหนึบหนับ หนุบหนับ ในเชิงสัมพันธภาพระหว่างประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์อย่างคุณพี่จีน กับประเทศประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก ที่ถือเป็น “เสาหลัก” ของอียู ว่าน่าจะซี้แหง-ย่ำปึ๊ก ระหว่างกันและกันมิใช่น้อย
คือก่อนหน้านั้น...ก็คงพอเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ประเทศมหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่หวังจะให้โลกทั้งโลกอยู่ภายใต้ “ขั้วอำนาจเดียว” มาโดยตลอด โดยเฉพาะผู้นำรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ผู้เพียรพยายามเสียเหลือเกินที่จะอาศัยความแตกต่างระหว่างความเป็นประชาธิปไตยกับความเป็นเผด็จการ หรือทุนนิยมกับคอมมิวนิสต์ มาฉุดลากกระชากถูให้อียูทั้งอียู หันไปไล่บด ไล่บี้ เล่นงานคุณพี่จีนให้หนักๆ เข้าไว้ พยายามฉีดวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์นาใส่แขน-ใส่ขาบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย โดยเฉพาะองค์กรความร่วมมือทางทหาร อย่าง “นาโต” จนส่งผลให้การประชุมสุดยอดผู้นำ G7 เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ถูกสอดแทรกเอาไว้ด้วยบรรยากาศของความกลัวจีน เกลียดจีน กันเป็นจำนวนไม่น้อย...
แต่อย่างที่ผู้อำนวยการยุโรปศึกษา (Department of European Studies) ของเมืองจีน “นายCui Hongjian” เขาได้สรุปท่าทีดังกล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า... “การประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายของจีนและอียูคราวนี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มประเทศสหภาพยุโรปอย่างอียูนั้น พยายามที่จะดำเนินนโยบายเป็นอิสระจากสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน” ไม่ว่าจะถูกชี้แนะ ชี้นำหรือกระทั่งข่มขู่ บังคับ โดยมหาอำนาจสูงสุดของโลกเพียงใดก็แล้วแต่ ขอบเขตการพูดคุยในเรื่อง “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ระหว่างอียูกับจีนในคราวนี้ จึงเป็นไปในแบบกว้างไกล กว้างขวาง เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าการแสดงความยอมรับต่อความเป็นไปของโลกในแบบหลายขั้วอำนาจ การเห็นพ้องต้องกันต่อการยกระดับการค้า-ขายระหว่างประเทศซึ่งกันและกัน การหาทางร่วมมือ-ร่วมใจ ในการต่อต้านโรคระบาด การสนับสนุน อุดหนุน และแจกจ่าย “วัคซีน” ให้กับชาวโลกทั้งหลาย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนทัศนะมุมมองต่อความเป็นไปในโลกที่สามอย่างบรรดาประเทศแอฟริกา ไปจนการให้คำมั่น-สัญญา ที่จะไม่คิดปฏิเสธ ต่อต้าน การจัดโอลิมปิกที่ปักกิ่งในปี ค.ศ. 2022 รวมทั้งการให้ความสนับสนุนโอลิมปิกที่ปารีส ในปี ค.ศ. 2024 ควบคู่ไปด้วย ฯลฯ ฯลฯ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...การแสดงออกของ 2 ประเทศเสาหลักแห่งอียู คือฝรั่งเศส และเยอรมนีต่อจีนในคราวนี้ ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ระหว่างจีนและอียู แทบไม่ได้มี “ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์” ระหว่างกันและกันเอาเลยแม้แต่น้อย ความพยายามยกระดับความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย จึงมุ่งไปยังผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า และทำให้ยุโรปแทบไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะไปบ่อนทำลายความร่วมมือกับจีน ตามที่มิตรประเทศอย่างคุณอเมริกา พยายามชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า มีแต่ต้องอาศัย “ความเป็นตัวของตัวเอง” ของยุโรปเองเท่านั้น ถึงต่างฝ่ายต่างสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายในแบบ “วิน-วิน” โดยไม่ต้องมีใคร “ซีโร่ซัมเกม” อีกต่อไป...
เพราะโดยความจริง โดยข้อเท็จจริง...การคิดจะปฏิเสธและต่อต้านประเทศที่กำลังมี “ขนาดเศรษฐกิจ” ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนั้น มันออกจะเป็นอะไรที่ขัดแย้ง แปลกแยกกับความเป็นไปของโลกอย่างมิอาจปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด เหมือนอย่างที่ผู้นำสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี “ลี เซียนหลุง” ท่านเคยพูดๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า ความพยายามเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้เกิด “พันธมิตร” ในการต่อต้าน หรือปิดล้อมประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจระดับประเทศจีนนั้น ออกจะเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ ไม่ว่าจะเป็น “พันธมิตรในยุโรป” หรือ “พันธมิตรในเอเชีย” อย่างประเทศ “QUAD” อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มีแต่ต้องหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับจีนให้จงได้ ดังนั้น...ความแตกต่างในด้านอุดมคติ อุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างความเป็นประชาธิปไตย-ความเป็นเผด็จการ ความเป็นทุนนิยมกับความเป็นคอมมิวนิสต์ ก็แล้วแต่ นับวัน...มันไม่อาจนำมาใช้ “ครอบงำ” การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้แบบเป็นเนื้อ เป็นหนัง เหมือนก่อนๆ ต่อไปอีกแล้ว...
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อ “คอมมิวนิสต์” หันมาร่วมมือกับ “ทุนนิยม” กันแบบชนิดแทบแยกไม่ออก ว่าไผเป็นไผ ใครเป็นใคร ไปแล้วก็ว่าได้ ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเงิน เทคโนโลยี ไปจนแม้แต่การศึกษา ฯลฯ บรรดาสิ่งที่เคยเพ้อๆ กันไป-กันมา ไม่ว่าเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ที่เคยเป็น “เครื่องมือ” ชิ้นสำคัญของบรรดา “นักประชาธิปไตย” ตามมาตรฐานตะวันตกมันจึงกลายสภาพเป็น “วัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์” หรือ “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์” เอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะถ้ามันยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็น “สองมาตรฐาน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ก็ยิ่งเป็นอะไรที่โบราณ หรือหลังเขา ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
ดังนั้น...การปรับตัว ปรับใจ ปรับสภาพของประเทศเสาหลักอียู อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ในการคิด “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับจีน จึงอาจไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามปรับทัศนคติ ปรับท่าทีในการอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อไปให้จงได้นั่นเอง คือจะไปขจัดกวาดล้างให้หมดสิ้นลงไป ให้สูญหายไปจากโลกใบนี้ อย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมาได้อีกโดยเด็ดขาด ยังไงๆ...มันคง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อยู่แล้วแน่ๆ มีแต่ต้องหาทาง “ระมัดระวังตัว” กันเอาเอง หรือถือเป็น “ความรับผิดชอบส่วนตัว” ของบรรดานักประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่จะต้องหาทางทำให้เสรีภาพและประชาธิปไตยภายในประเทศตัวเอง สังคมตัวเอง เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความดีงาม ความถูกต้อง ยุติธรรม ต่อผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เสรีภาพของพ่อค้า ประชาธิปไตยของพ่อค้า เป็นเสรีภาพและประชาธิปไตยที่เป็นไปเพื่อ “ส่วนรวม” ไม่ใช่เพื่อ “ส่วนตัว” อย่างที่เคยเป็นมาและเป็นไป ตามแบบฉบับประเทศที่ได้ชื่อประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตกทั้งหลาย นั่นแล...