xs
xsm
sm
md
lg

100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความสำเร็จของอำนาจนิยม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นพ นรนารถ



เมื่อครั้งสหภาพโซเวียตล่มสลายตอนปี 1991 ผู้นำ นักวิเคราะห์ นักวิชาการโลกตะวันตก เชื่อว่า อีกไม่ช้า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจะถึงกาลอวสานเช่นเดียวกัน ระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์จะสูญพันธุ์ไปจากโลก เหลือเพียงระบบทุนนิยมเสรีของตะวันตกเท่านั้น

พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เพียงดำรงคงอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ยังแข็งแกร่ง ทรงอำนาจมากขึ้นทุกที ประเทศจีนภายใต้การปกครองแบบพรรคเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์ ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจเคียงคู่กับสหรัฐอเมริกาด้วยความมั่นใจว่า ระบบโลกใหม่ในวันนี้ ไม่ควรถูกกำหนดชี้นำโดยประเทศเพียงไม่กี่ประเทศอีกต่อไป ประชาธิปไตยแบบอเมริกันนั้น ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าระบอบการปกครองของจีน

สหรัฐฯ และพันธมิตรโลกตะวันตกเองก็ยอมรับว่า จีนยิ่งใหญ่และน่ากลัว การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี 7 ที่อังกฤษ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามล็อบบี้ให้สมาชิก จี 7 รวมพลังกันแข่งขันกับจีนทางด้านเศรษฐกิจ และประกาศโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน Build Back Better แข่งกับ One Belt One Road ของจีน แต่เสียงของจี 7 ไม่เป็นเอกภาพ เพราะหลายประเทศเช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส มีผลประโยชน์ด้านการลงทุนจำนวนมากในจีน ไม่พร้อมที่จะเป็นปฏิปักษ์กับจีนอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อเอาใจสหรัฐฯ

วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน จะมีอายุครบ 100 ปี เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ปกครองประเทศมานานถึง 72 ปี ไม่นานเท่าพรรคบอลเชวิค ที่ปกครองสหภาพโซเวียต (74 ปี) แต่เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เปลี่ยนประเทศจีน ซึ่งล้าหลัง ยากจน ประชาชนหิวโหย ในยุคเหมา เจ๋อตุง ให้เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีหลายๆ ด้าน และเป็นระบบอำนาจนิยมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ทั้งในแง่ของการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการควบคุมพลเมืองให้ยอมรับอำนาจการนำ

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอยู่ 3 ประการคือ

ประการแรก การใช้อำนาจที่เด็ดขาด ไม่ลังเลที่จะใช้กำลัง ความรุนแรงกับผู้เห็นต่าง กรณีเทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989 และขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ฮ่องกง เมื่อสองปีที่แล้ว วิธีการอาจจะแตกต่างกัน แต่นโยบายเป้าหมายเดียวกัน คือ ปราบปรามผู้ต่อต้านระบบอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

สี จิ้นผิง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีน เคยกล่าวถึงการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์โซเวียตว่า เป็นเพราะผู้นำโซเวียต ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผู้ต่อต้านในช่วงวิกฤต ซึ่งคำพูดนี้ถูกแปลความโดยสื่อตะวันตกว่า พวกเขาไม่เหมือนเรา ตรงที่ไม่กล้าพอจะลั่นกระสุนปืนกลฆ่าผู้คนที่มีแต่มือเปล่า

ประการที่สอง ที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน อยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึง 1 ศตวรรษ คือ การปรับเปลี่ยนอุดมการณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่ยึดติดอยู่กับวิธีคิดใดวิธีคิดหนึ่งแบบขึงตึง ตายตัว เมื่อสิ้นสุดยุคเหมา เจ๋อตุง และแก๊ง 4 คน เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำคนต่อมา ลดความเคร่งครัดของอุดมการณ์ ล้มเลิกระบบคอมมูนที่ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และผลผลิตที่ตัวเองเป็นผู้ผลิต ทุกอย่างเป็นของคอมมูนหรือส่วนกลาง เติ้ง นำเอาระบบการตลาดของทุนนิยมมาใช้ในการบริหารเศรษฐกิจ ภายใต้นโยบาย 4 ทันสมัย ใช้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นแรงจูงใจในการผลิต เปลี่ยนจากระบบ “ให้แต่ละคนตามความจำเป็น” มาเป็น “ให้แต่ละคนตามความสามารถ”

ยุคสี จิ้นผิง ผู้นำรุ่นที่ 5 ซึ่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำสูงสุดทั้งของพรรคและของประเทศ มา 8 ปีแล้ว และแสดงเจตนาว่า จะเป็นผู้นำตลอดกาล ได้กลับไปให้ความสำคัญกับ อุดมการณ์สังคมนิยม เชิดชูประธานเหมา เจ๋อตุง และสร้างชุดความคิดใหม่ คือ ความคิดสี จิ้นผิง ภายใต้นโยบาย ความฝันของจีน ที่ประกอบด้วย การฟื้นฟูประเทศให้จีนกลับมายิ่งใหญ่ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สร้างความมั่งคั่ง ขยายแสนยานุภาพทางทหาร ปลุกคนหนุ่มสาวให้มีความฝัน ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จในชีวิต โดยไม่ลืมอุดมการณ์สังคมนิยม

สี จิ้นผิง ปฏิรูปพรรคคอมมิวนิสต์ใหม่ตั้งแต่ชั้นรากฐานจนถึงระดับบน สร้างเครือข่ายสายลับสอดแนมความเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคและตนเอง ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านขึ้นมา จัดตั้งองค์กรพรรคในบริษัทเอกชน กวาดล้างปราบปรามผู้นำพรรคที่เป็นคู่แข่งหรือมีความเห็นต่าง ภายใต้นโยบายกวาดล้างคอร์รัปชันในพรรค ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเอไอติดตามสอดส่องประชาชนทุกย่างก้าว เป็นยุคที่สังคมจีนถูกควบคุมอย่างเข้มงวดที่สุด นับตั้งแต่ยุคประธานเหมา

สี จิ้นผิง เห็นว่า ความล่มสลายของคอมมิวนิสต์โซเวียต มีสาเหตุสำคัญมาจาก นโยบายเปิดกว้างทางความคิด หรือ “กลาสน็อต” ของประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ ยอมรับความเห็นที่แตกต่างในพรรค เป็นบทเรียนที่ทำให้เขาปฏิเสธ และกำจัดความหลากหลายทางความคิดในพรรคคอมมิวนิสต์จีนและในหมู่ประชาชนที่ต้องการสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความเห็นให้สิ้นซาก

ประการสุดท้าย ที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุคสี จิ้นผิง เข้มแข็ง มั่นคงคือ ไม่ยอมให้มีการใช้อำนาจฉ้อฉล แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวของผู้นำพรรคและวงศ์วานว่านเครืออย่างในอดีต ลดความเหลื่อมล้ำ การคอร์รัปชัน แม้จะยังมีอยู่ และมีคนกลุ่มน้อยที่รวยมากๆ แต่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่า ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลได้สร้างระบบสวัสดิการขึ้นทั่วประเทศ มีบำนาญให้คนที่เกษียณ มีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล แม้จะไม่มากมาย แต่คนส่วนใหญ่พอใจ เพราะในอดีตไม่เคยได้

ประชาชนส่วนใหญ่พอใจกับการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลกลาง ที่ใช้มาตรการเด็ดขาด รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ทำให้ความนิยมในตัวสี จิ้นผิง และความมั่นคงของพรรคยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ทฤษฎีการเมืองตะวันตกบอกว่า เมื่อเศรษฐกิจดี คนมีกินมีใช้ มีงานทำ สังคมมีชนชั้นกลางเกิดขึ้น ความต้องการขั้นต่อไปคือ สิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น ความต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งจะขัดแย้งกับการปกครองแบบอำนาจนิยม ในที่สุดแล้ว ความต้องการสิทธิเสรีภาพของชนชั้นกลาง จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งอาจเป็นชนวนของการเปลี่ยนแปลง

พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กำลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 ในอีก 3 วันข้างหน้า เป็นคำตอบว่าทฤษฎีเหล่านี้ เป็นจริง หรือเป็นแค่ทฤษฎี


กำลังโหลดความคิดเห็น