วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบออนเทค ยามสู้กับตัวกลายพันธุ์ 'เดลตา" อ่อนแอกว่าที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอิสราเอลคาดหมายไว้ เดลิเมล์อ้างอิงรายงานจากสื่อมวลชนอิสราเอลเมื่อวันศุกร์ (16 ก.ค.) โดยนอกเหนือจากชุดข้อมูลภายในประเทศแล้ว นายกรัฐมนตรีอิสราเอลยังหยิบยกตัวอย่างจากสหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวประสิทธิภาพของวัคซีนในการรับมือกับตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวดังกล่าวที่พบครั้งแรกในอินเดีย
เดลิเมล์ สื่อมวลชนอังกฤษอ้างอิงรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นระบุว่า เมื่อวันศุกร์ (16 ก.ค.) นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเนตต์ ได้ประชุมหารือกับคณะรัฐมนตรีในเทลอาวีฟ เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
อิสราเอล ฉีดวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค แก่ประชาชนไปแล้วกว่า 61% ของจำนวนประชาชน แต่เวลานี้กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น โดยเมื่อวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) มีอัตราการตรวจเชื้อที่ออกมาเป็นบวกอยู่ที่ 1.52% ถือเป็นอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม
จากข้อมูลของรัฐบาลยังพบว่า จนถึงวันที่ 6 มิถุนายน ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค ต่อตัวกลายพันธุ์เดลตา อยู่ที่ 64% เท่านั้น
"ณ เวลานี้ มีความเชื่อในวงกว้างว่าประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันกับตัวกลายพันธุ์เดลตานั้นอ่อนแอกว่าที่เราคาดหว้งไว้" เบนเนตต์กล่าว "เราไม่รู้แน่ชัดว่าวัคซีนช่วยได้ในระดับไหน แต่ประสิทธิภาพของมันลดลงอย่างมาก เราทุกคนหวังเห็นภาวะชะลอตัว แต่ความจริงแล้วในตอนนี้มันไม่ชะลอตัว ไม่ใช่ที่นี่และไม่ใช่ทั่วโลกด้วย"
เบนเนตต์ ยังพูดพาดพิงถึงวิกฤตในสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง 2 ชาติต่างใช้วัคซีนของไฟเซอร์ และกำลังโดนตัวกลายพันธุ์เดลตาโจมตีอย่างหนักเช่นกัน
เมื่อวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) สหรัฐฯ รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 28,412 ราย ค่าเฉลี่ย 7 วันหลังสุดอยู่ที่ 26,079 รายต่อวัน เพิ่มขึ้นจากระดับค่าเฉลี่ย 11,067 คนต่อวันเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
เดลิเมล์อ้างข้อมูลการวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ็อปกินส์ ระบุว่า เกือบทุกรัฐของสหรัฐฯ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต่างพบเห็นเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ราวๆ 40 รัฐพบเห็นอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% โดยบรรดารัฐที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดบางส่วนนั้น รวมไปถึงรัฐอาคันซอ ลุยเซียนา และมิสซูรี
ด้วยเคสผู้ติดเชื้อส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุก 2 สัปดาห์ จึงคาดหมายว่าสหรัฐฯ อาจได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อกลับไปแตะระดับ 50,000 คนต่อวันในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม และ 100,000 คนต่อวันในเดือนสิงหาคม
ขณะเดียวกัน เคสผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของสหราชอาณาจักรแตะระดับ 50,000 คนในวันศุกร์ (16 ก.ค.) ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถึงจุดพีคสุดของการแพร่ระบาดระลอก 2 ในเดือนมกราคม
ตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขสหราชอาณาจักร พบว่า จำนวนประชาชนที่มีผลตรวจออกมาเป็นบวกอยู่ที่ 51,870 ราย เพิ่มขึ้นถึง 45% ภายในสัปดาห์เดียว
ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งพวกผู้เชี่ยวชาญกล่าวโทษไปที่การผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ และศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
"ตอนนี้ตัวกลายพันธุ์เดลตานำหน้าทั่วโลกค่อนข้างไกล ในนั้นรวมถึงประเทศต่างๆ ที่ฉีดวัคซีนแล้ว อย่างเช่นสหราชอาณาจักร อิสราเอล และสหรัฐฯ" เบนเนตต์ กล่าว
เบนเนตต์ กล่าวต่อว่า "ในอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ เราเห็นเด็กที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน มันเป็นสถานการณ์ที่เราตระหนัก เราจะจัดการกับมันอย่างมีเหตุผลและด้วยความรับผิดชอบ"
"ด้วยวัคซีนมีประสิทธิภาพกับไวรัส เพราะฉะนั้นเราเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการฉีดวัคซีนและสำรองคลังวัคซีน แต่ใครก็ตามที่หวังว่าวัคซีนเพียงอย่างเดียวจะคลี่คลายปัญหา มันไม่เป็นแบบนั้น ยุทธศาสตร์สำคัญคือด้านหนึ่งนำวัคซีนเข้ามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนอีกด้านก็ต้องเข้าใจถึงข้อจำกัดของวัคซีน" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุ
(ที่มา : เดลิเมล์)