ลอสแองเจลิสจะกลับมาบังคับสวมหน้ากากยามอยู่ในสถานที่สาธารณะในร่มต่างๆ อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้เป็นต้นไป สืบเนื่องจากจำนวนเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้ป่วยอาการหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.)
ลอสแองเจลิส กลายเป็นมหานครแรกของสหรัฐฯ ที่กลับมาบังคับสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในห้างสรรพสินค้า ร้านขายของชำ ร้านอาหาร และสถานที่ทำงาน โดยไม่คำนึงว่าจะฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ เพื่อช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่
คำสั่งบังคับสวมหน้ากากนี้จะมีผลในลอสแองเจลิส เคาน์ตี ตั้งแต่เที่ยงคืนวันเสาร์ (17 ก.ค.) เป็นต้นไป "ลอสแองเจลิสไม่ได้ใกล้เคียงอยู่ในจุดที่เราต้องการในแง่ของจำนวนประชาชนที่ฉีดวัคซีน" มุนตู เดวิส เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำเคาน์ตี กล่าว
ในวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) ลอสแองเจลิส เคาน์ตี รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัย 1,537 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม และเป็นจำนวนที่เกิน 1,000 คน 7 วันติดต่อกัน
นอกจากนี้แล้ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังรายงานพบจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยยืนยันเคสผู้ติดเชื้อใหม่ 3,622 รายในวันพฤหัสบดี (15 ก.ค.) ทำให้ค่าเฉลี่ย 7 วันเพิ่มขึ้น 3.5% จากระดับ 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯ แถลงในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ว่า ประชาชนชาวอเมริกาที่ฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถบอกลาหน้ากากทั้งยามอยู่กลางแจ้งหรือในร่ม อย่างไรก็ตาม หลังจากถึงจุดพีกสุดในเดือนเมษายน โครงการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมาก แม้มีวัคซีนเหลือใช้มากมาย
เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์ใหม่ สถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่บางคนเคยแสดงความกังวลก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่า ในบรรดาผู้ที่มีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก ซึ่งบางส่วนอาการหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
(ที่มา : เอเอฟพี)