วันนี้...คงต้องขออนุญาตเชิญชวนให้แวะกลับไปดู “แนวรบในตะวันออกกลาง” กันอีกสักเที่ยว เพราะถึงจะยังไม่มีข่าวคราวด้าน “การทหาร” ประเภทดวลจรวด ดวลระเบิด สาดบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่กันและกันมากมายสักเท่าไหร่นัก แต่ในแง่ข่าวคราวด้าน “การเมือง” แล้ว ต้องเรียกว่า...น่าจะเต็มไปด้วยการเดินหมาก เดินแต้ม ย้ายขุน ย้ายม้า ย้ายเรือ ฯลฯ โขกกันไปโขกกันมาอยู่กลางกระดาน “หมากรุก” หรือล้อมกันไป-ล้อมกันมากลางกระดาน “หมากล้อม” อย่างชนิดน่าคิด น่าสะกิดใจ หรือน่าสนใจเอามากๆ...
คือจากการ “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” หรือการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากสมรภูมิ 20 ปีในอัฟกานิสถาน ที่กำลังดำเนินการอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะก่อให้เกิดผลบวก-ผลลบ ต่อคุณพ่ออเมริกาก็แล้วแต่ แต่คงต้องยอมรับว่า...ก่อให้เกิดความ “เสื่อมโทรม” ต่อยี่ห้อเทรดมาร์ค ของมหาอำนาจสูงสุดในโลกไม่ว่าทางการเมือง-การทหารอย่างอเมริกามิใช่น้อย แต่เมื่อช่วงวันจันทร์ (26 ก.ค.) ที่ผ่านมานี้เอง ภายหลังการพบปะแบบตัวเป็นๆ ระหว่างผู้นำอเมริกา “ผู้เฒ่าโจ” กับนายกรัฐมนตรีอิรัก “นายมุสตาฟา อัล-คาดิมี” (Mustafa al-Kadhimi) ประเทศที่กองทัพสหรัฐฯ บุกเข้าไปทำสงครามและยังคงป้วนๆ เปี้ยนๆ ไป-มาอยู่ประมาณ 18 ปี จนตราบเท่าทุกวันนี้ ว่ากันว่า...ได้นำไปสู่ “ข้อตกลง” ของทั้งสองฝ่าย ที่จะส่งผลให้กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะ “ยุติปฏิบัติการทางทหาร” ไม่ว่าในแง่การฝึก การให้คำปรึกษา การให้ความช่วยเหลือทางทหารในด้านต่างๆ ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ฯลฯ ภายในช่วงสิ้นปี หรือภายในเดือนธันวาคมของปีนี้...
อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ของบรรดานักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ต่างประเทศ ชนิดชุลมุนวุ่นวาย เพราะฉากสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างอิรักนั้น มันคงไม่ได้เหมือนกับฉากสถานการณ์ในประเทศเอเชียกลางอย่างอัฟกานิสถานสักเท่าไหร่ คือมันยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ที่ทำให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา มิอาจหนียะย่าย พ่ายจะแจ หรือ “แพ้แล้ว-แพ้เลย” เอาง่ายๆ ไม่ว่ายากลำบาก เจ็บปวดรวดร้าว ทรมานไปถึงขั้นไหน ขั้นที่ทหารสหรัฐฯ ในอิรักต้องคอยระแวดระวังจรวด หรือเครื่องบินโดรน จาก “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่บรรทุกเอาระเบิดมาทิ้งใส่หัวกบาลบรรดาทวยทหารอเมริกันประมาณ 2,500 นาย ซึ่งยังคงอยู่ภายในฐานปฏิบัติการต่างๆ ในอิรัก ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร จนน่าจะ “ถอนตัว” ออกจากดินแดนประเทศนี้ให้รู้แล้ว รู้แรด ไปซะที ตามคำเรียกร้องหรือตาม “มติ” ของรัฐสภาอิรัก ที่เป็นตัวสร้างแรงกดดันให้กับนายกรัฐมนตรี ต้องหาทางเจรจากับรัฐบาลอเมริกันในเรื่องนี้คราวแล้ว คราวเล่า แม้ว่ายังต้องการ “ความช่วยเหลือ” จากสหรัฐฯ ในด้านต่างๆ อีกเป็นจำนวนไม่น้อย...
ดังนั้น...การประกาศตัดสินใจ “ยุติปฏิบัติการทางทหาร” ของสหรัฐฯ ในประเทศอิรักภายในสิ้นปีนี้นั้น เมื่อนำไปสู่การตั้ง “คำถาม” ว่าจะหมายถึง “การถอนทหารสหรัฐฯ” จำนวนทั้ง 2,500 นาย ออกจากดินแดนประเทศนี้ให้หมดเกลี้ยงกันไปเลยหรือเปล่า??? ผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านก็ดูจะหนักไปทางหันไป “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) ออกอาการงึมๆ งัมๆ ไม่ได้พูดเอาไว้ชัดเจน ว่าจะ “ถอน-ไม่ถอน” แบบเดียวกับอัฟกานิสถานหรือไม่? อย่างไร? เพราะยังไงๆ...ภายในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า หรือในช่วงวันที่ 10 ตุลาคมปีนี้ ก็คงได้ฤกษ์ ได้เวลา ที่ “รัฐสภาอิรัก” จะต้อง “เลือกตั้งกันใหม่” ต้องควานหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 328 คน เข้ามาแทนที่รัฐสภาชุดเดิม ที่กระเหี้ยนกระหือรือไม่อยากจะให้ “ทหารต่างชาติ” รายใดก็ตาม ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนประเทศตัวเองอีกต่อไป หรือยังเหลือเวลาพอที่จะ “แทรกแซง” พอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ นายกรัฐมนตรีรายใหม่ของอิรัก กลายมาเป็นพวก “โปรอเมริกัน” แทนที่นายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่า “โปรอิหร่าน” อย่าง “นายมุสตาฟา อัล-คาดิมี” ผู้ต้องไหลไปตามกระแส หรือเล่นไปตามน้ำ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ อีกตั้ง 5 เดือน 6 เดือนเป็นอย่างน้อย...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้เกิดการวางหมาก วางเกม ย้ายขุน ย้ายเรือ หรือล้อมหน้า ล้อมหลัง ไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางเอาเลยก็ว่าได้ เพราะยังไงๆ...มหาอำนาจสูงสุดทางการเมือง-การทหารอย่างอเมริกานั้น ย่อมมิอาจหนียะย่าย พ่ายจะแจไปจาก “แนวรบ” ที่สำคัญเอามากๆ หรือจากภูมิภาคแห่งนี้เหมือนอย่างภูมิภาคเอเชียกลางได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบกระเทือนไปถึง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกา อย่างคุณทวดอิสราเอล ที่กำลังต้องเจอกับ “การบ้าน” ที่ยากซ์ซ์ซ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในการประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยภายในภูมิภาคแห่งนี้ โดยเฉพาะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล จากนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” มาเป็น “นายนาฟทาลี เบนเนตต์” (Naftali Bennett) โดยมีนายกรัฐมนตรีทางเลือก หรือนายกรัฐมนตรีสำรอง อย่าง “นายยาอีร์ ลาปิด” (Yair Lapid) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปพลางๆ นั่นก็คือการหาทางลดบทบาท อิทธิพล หรือลด “ภัยคุกคามจากอิหร่าน” ที่มาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ภายในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะในอิรัก ซีเรีย เลบานอน ไปจนถึงเยเมน ฯลฯ โน่นเลย...
โดยเฉพาะในซีเรีย...อันเป็น “ปากประตูบ้าน” ที่จะทะลุเข้าถึงอิสราเอลได้ง่ายๆ นอกเสียจากพันธมิตรของอิสราเอลอย่างคุณพ่ออเมริกาจะแพ้แล้ว-แพ้อีก ไม่อาจโค่นล้มรัฐบาล “อัล-อัสซาด” ลงไปได้ แม้จะผนึกกำลังพันธมิตรต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคไปจนถึงพันธมิตรในยุโรปก็ตาม อีกทั้งสิ่งที่ถูกนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” ในการดำรงคงอยู่ของทหารอเมริกันในอิรัก อย่าง “ผู้ก่อการร้ายไอซิส” ก็ดันโดนกองทัพซีเรีย รัสเซีย และอิหร่าน กวาดซะเกลี้ยง!!! ไม่เพียงแต่ไม่เหลือเศษ เหลือซาก พอที่จะเอาไว้ใช้ “ทำยา” ได้อีกต่อไป ยังส่งผลให้รัฐบาลอิรักและซีเรีย หันมาผนึกกำลังร่วมขจัดกวาดล้าง ไม่ให้เศษเสี้ยนต่างๆ สามารถฟื้นฟูกลับคืนขึ้นมาได้ใหม่ อันกลายเป็นการเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้พี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน สามารถชำแรกแทรกซึม เข้ามามีบทบาท อิทธิพล ในประเทศทั้งสองเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ...
แต่ครั้งที่ “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ยังคงเป็นผู้นำประเทศอิสราเอลอยู่นั้น...การหาทางกำจัดบทบาท อิทธิพล ของอิหร่านในประเทศทั้งสอง ด้วยการวิ่งเข้า-วิ่งออก ต่อสายกับอภิมหาอำนาจอย่างหมีขาว-รัสเซีย ที่พร้อมจะหนุนหลังรัฐบาลซีเรียแบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน ด้วยการจัดสร้าง “กลไกในการลดความขัดแย้งและการเผชิญหน้า” กับฝ่ายรัสเซียโดยตรง จนทำให้สามารถส่งกำลังไปโจมตีอิหร่านและพวกเฮซบอลเลาะห์ในซีเรียและอิรัก โดยที่รัสเซียไม่คิดจะขัดแข้ง ขัดขา หรือไม่คิดจะเกี่ยวข้องด้วย แต่ครั้นเมื่อ “เบนจามิน เนทันยาฮู” ไม่อยู่ หรือไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ก่อให้เกิด “คำถาม” ชนิดคอลัมนิสต์ “Jerusalem Post” อย่าง “นายHerb Keinon” ต้อง “ตั้งข้อสังเกต” เอาไว้ดังๆ ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Israeli government faces major diplomatic test from Russia” ด้วยการอ้างถึงข่าวคราวจากหนังสือพิมพ์อาหรับในประเทศอังกฤษ หรือ “Al-Awsat” ที่ระบุเอาไว้ว่า หมีขาว-รัสเซียชัก “ทนไม่ได้” อีกต่อไปแล้ว ต่อการส่งจรวด ส่งเครื่องบินอิสราเอล เข้าไปโจมตีใครต่อใครในดินแดนซีเรีย และได้ยกระดับ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” หรือระบบ S-400 ที่เข้าไปติดตั้งไว้ในซีเรีย จนสามารถสกัดกั้นจรวดอิสราเอลประมาณ 7-8 ลูกได้เกลี้ยง!!! เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ โดยถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามนั้น ก็เท่ากับส่งผลให้กองกำลังอิหร่านในซีเรีย ตลอดไปจนพวกเฮซบอลเลาะห์ ยิ่งสามารถอยู่รอดปลอดภัย หรือสามารถเข้าไป “ขุดสนามเพลาะ” ถึงปากประตูบ้านอิสราเอล ไปจนถึงลำเลียงอาวุธจากซีเรียไปยังเลบานอน ได้แบบไม่ต้องกลัวนั่น กลัวนี่ อีกต่อไป...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้การคิดจะ “ถอนทหารอเมริกัน” ออกจากอิรัก คงไม่น่าจะถึงกับ “ง่าย” เหมือนอย่างการปิดไฟ ใส่กลอน จะเข้ามุ้งนอนนึกถึงใบหน้า อย่างในภูมิภาคเอเชียกลางหรือในอัฟกานิสถานแต่อย่างใด แม้ถึงขั้นต้องหาทาง “แทรกแซง” หาทางเปลี่ยนแปลงรัฐสภา รัฐบาลอิรัก ภายในอีก 5-6 เดือนข้างหน้าให้จงได้!!! การวางหมาก วางเกม การรุก การถอย ไปจนถึงการล้อม ระหว่างแต่ละฝ่ายจึงเป็นไปในแบบซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยใครแพ้-ใครชนะ ใครไม่ทันเป็นคนหลงทาง แบบไหน อย่างไร คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นระยะๆ....