โดยความปลาบปลื้ม ยินดี ต่อชัยชนะของ “น้องเทนนิส” ในการคว้าเหรียญทองเทควันโด จากมหกรรมโตเกียวโอลิมปิก 2020 มาได้เป็นเหรียญแรก น่าจะพอช่วยให้ใครต่อใครลดความรู้สึกสยดสยอง ขนลุกขนพอง ต่อเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด”ลงไปได้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย ส่วนจะถือเป็น “โชคดี” “โชคช่วย” “บุญอุ้ม” หรือ “บุญบังเอิญ” ของบรรดาผู้นำรัฐบาล อย่างประเภท “บิ๊กตู่” หรือ “บิ๊กป้อม” ที่กำลังโดนด่า โดนประณามชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? อันนั้นคงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านกันเอาเองก็แล้วกัน...
แต่เพื่อช่วยให้เกิดการ “เปลี่ยนบรรยากาศ” จากเรื่องซ้ำๆ ซากๆ หรือเรื่องประเภท “โควิด-ไม่โควิด” ไปยังเรื่องอื่นๆ ที่อาจมีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน วันนี้...เลยคงต้องขออนุญาต ไปหยิบเอารายงานชิ้นล่าสุดขององค์กรอิสระด้านการเงิน-การทอง หรือด้านธนาคารกลางและนโยบายเศรษฐกิจการลงทุนสาธารณะ อย่างองค์กร “OMFIF” หรือ “The London-based Official Monetary and Financial Institute Forum” ที่เพิ่งเผยแพร่เอาไว้ในวารสารการเงิน ชื่อว่า “Global Public Investor survey” มาใช้เป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนสนทนากันเอาไว้ในที่นี้ อันเนื่องมาจากว่า...ในเอกสารรายงานชิ้นดังกล่าว เขาได้เปิดเผย “ข้อมูล-ข้อเท็จจริง” ที่ออกจะน่าสนใจมิใช่น้อย นั่นก็คือ...การระบุว่า ในอีกประมาณ 12-24 เดือนข้างหน้านี้ บรรดา “ธนาคารกลาง” ทั่วทั้งโลก ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป กำลังปรับแผน ปรับนโยบาย ในระยะยาว สำหรับการถือครอง “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” ด้วยการเพิ่มการถือครองเงินตรา “สกุลหยวน” ของจีนให้มากๆ เข้าไว้ ไปพร้อมๆ กับการลดการถือครองเงินตรา “สกุลดอลลาร์” ของอเมริกา ให้เหลือติดปลายนวม ติดตะกร้า ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ อะไรทำนองนั้น...
คืองานนี้... “OMFIF” เขาถือว่าเป็น “แนวโน้มของโลก”เอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะที่เห็นชัดเจนเอามากๆ ก็คือบรรดา “ธนาคารกลาง” ในหมู่ชาติแอฟริกาทั้งหลาย ที่มีถึงเกือบครึ่งหนึ่ง หรือเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่หันมาประพฤติปฏิบัติ หรือหันมากำหนดนโยบายทางการเงินในลักษณะที่ว่านี้ ยิ่งเป็นประเภทที่ถือเป็น “คู่แข่ง” หรือ “คู่กัด” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างหมีขาว-รัสเซีย ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง เพราะการตัดสินใจ “ทิ้งเงินดอลลาร์” แบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือ “National Wealth Fund” ของรัสเซียเมื่อเร็วๆ นี้ จากที่เคยถือครองอยู่ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือเพียง 0 เปอร์เซ็นต์ ย่อมถือเป็นการแสดงออกในแบบ “ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ” โดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรมากแต่ก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศประเภท “คู่แข่ง-คู่กัด” อย่างรัสเซียเท่านั้น การที่บรรดา “ธนาคารกลาง” ของโลกทั้งโลก ได้หันมาถือครองเงินสกุลหยวนที่เพิ่งถูกบรรจุไว้ใน “ตะกร้าเงิน” ของ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ “ไอเอ็มเอฟ” เมื่อไม่นานมานี่เอง ไว้ในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 30.4 เปอร์เซ็นต์ รองจากเงินยูโรของยุโรป ที่ถือครองอยู่ประมาณ 39.7 เปอร์เซ็นต์ ย่อมถือเป็น “ความเปลี่ยนแปลง” ที่น่าสนใจเอามากๆ หรืออย่างน้อย...ก็พอแสดงให้เห็นถึงความมั่นอก มั่นใจ ต่อประเทศเผด็จการ ประเทศคอมมิวนิสต์ ที่กำลังเพิ่มขึ้นๆ พร้อมๆ กับการลดความมั่นอก มั่นใจ ต่อประเทศประชาธิปไตยเสรี อย่างคุณพ่ออเมริกา ลงไปอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ หรืออย่างถือเป็น “แนวโน้มของโลก” ดังที่ “OMFIF” เขาสรุปเอาไว้...นั่นแล...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...งานนี้ มันคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอุดมกง “อุดมการณ์” มากมายสักเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับ “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” ที่แทรกซึม ผสมปนเป อยู่กับเรื่องเงินๆ-ทองๆ นั่นเอง อันอาจถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าระบบการเงิน-การทอง หรือ “ระบบเศรษฐกิจจีน” นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ “มิอาจปฏิเสธ” ได้อีกต่อไปแล้ว ขณะที่ระบบการเงิน-การทอง หรือ “ระบบเศรษฐกิจอเมริกา” กลับมาถึงจุดที่มีแต่จะเสื่อมโทรมลงไป ไม่ว่าจะโดยปัญหา “หนี้สิน” ภายในประเทศ หรือโดยความเป็น “จักรวรรดินิยม” ทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ที่ส่งผลให้ “ศัตรูที่แท้จริง” ของตัวเอง ก็คือ “ตัวของตัวเอง” หรือคือประเทศอเมริกานั่นเอง และด้วย “แนวโน้มของโลก” ที่กำลังเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ โอกาสที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาจะพยายามชักชวนใครต่อใคร ให้หันไปเล่นงานคุณพี่จีน หรือคุณน้ารัสเซีย ที่ถือเป็น “คู่แข่ง-คู่กัด” กันอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการนั้น น่าจะยากส์ส์ส์แสนยากส์ส์ส์ หรือแทบ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่ผู้นำประเทศเล็กๆแต่เก่งฉกาจฉกรรจ์ในการ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” อย่างประเทศสิงคโปร์ ที่ผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี “ลี เซียนลุง” ท่านเคยออกมาพูดๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า...ความพยายามชักชวน เชิญชวน ให้ใครต่อใครต่อต้านและปฏิเสธ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสอง หรือใกล้จะเป็นอันดับหนึ่งของโลก อย่างประเทศจีนนั้น น่าจะหาประเทศที่คิดจะเดินไปในแนวนี้ ได้ยากเย็นเต็มที...
และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่...เลยทำให้บรรดานักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ จำนวนไม่น้อยเลยค่อนข้างหันมาเชื่อๆ กันว่า ท้ายที่สุดแล้ว...ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกานั้น คงหนีไม่พ้นที่ต้องหันมา “ปรับตัว-ปรับสภาพ” หรืออาจต้อง “ปรับเปลี่ยนนโยบาย” เอาเลยก็ไม่แน่ ในการจัดระดับความสัมพันธ์กับประเทศคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย คือแทนที่จะกัดกันไป-กัดกันมา อาจต้องหันมาหาทาง “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับบรรดาประเทศเหล่านี้อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตนักการทูต อย่างท่าน “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” คอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” ที่ได้แสดงทัศนะทำนองนี้ เอาไว้ในเรื่อง “Biden-Xi summit coming into view” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา ได้นำมาถ่ายทอด และเรียบเรียง ไว้ในชื่อเรื่อง “เค้าลางที่จะเห็นการประชุมซัมมิต ไบเดน-สี จิ้นผิง ขณะสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน” เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว โดยใครสนใจรายละเอียดคงต้องไป “คลิก” อ่านกันเอาเอง หรือ “โดมินิก ฟิตซ์ซิมมอนส์” (Dominic Fitzsimmons) ที่สะท้อนทัศนะดังกล่าวเอาไว้ในสำนักข่าว “อัลจาซีราห์” เมื่อช่วงวันเสาร์ (24 ก.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ในชื่อเรื่อง “US-China talks come at times of heightened tension” หรือการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ระหว่างจีนและอเมริกา กำลังอุบัติขึ้นมาท่ามกลางความตึงเครียดขั้นสูงสุด อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุนี้...การออกมาด่าว่า ออกมาประณามจีน ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าในเรื่องสิทธิมนุษยชนในซินเจียง เรื่องการสร้างความไม่ปลอดภัยในระบบไซเบอร์ ที่ทั้งสหรัฐฯ นาโต อียู ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น ไปจนถึงนิวซีแลนด์ เพิ่งออกมารุมด่าประเทศจีนในเรื่องทำนองนี้ สุดท้าย...อาจหนีไม่พ้นต้อง “หยวนๆ” กันไปตามสภาพ หรืออาจไม่ได้นำไปสู่การปะทะ ขัดแย้งแบบชนิดต้องพังพินาศกันไปข้าง นั่นรวมไปถึงบรรดาฉากสถานการณ์ใน “แนวรบ” ด้านต่างๆ ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือในทะเลจีนใต้ ฯลฯ ที่แม้จะต้องง๊องๆ แง๊งๆ ต้องยั่วยวนกวนส้นตีนกันต่อไปก็ตาม แต่ไม่น่าจะถึงขั้นต้องงัดเอา “บ้องข้าวหลามยักษ์” ในลักษณะต่างๆ มาสาดใส่ซึ่งกันและกัน อันมีแต่ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ไปด้วยกันทุกฝ่าย มีแต่ต้องหาทางปรับตัว ปรับสภาพ เพื่อหันมา “อยู่ร่วมกันโดยสันติ”ให้จงได้นั่นเอง...
จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ อันนั้น...คงต้องเก็บไปคิดเป็น “การบ้าน” กันเอาเองก็แล้วกัน แต่ถ้าดูจากลักษณะท่าทีของคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันในแต่ละระดับ ไม่ว่าตั้งแต่ “นางเวนดี เชอร์แมน” (Wendy Sherman) รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอเมริกาที่กำลังพบปะกับ “นายหวัง อี้” (Wang Yi) มุขมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่เมืองเทียนสิน ในช่วงวันอาทิตย์ (25 ก.ค.) ที่ผ่านมา ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายเจค ซัลลิแวน” (Jake Sullivan) ไปจนถึงตัว “ผู้เฒ่าโจ”ที่ได้ชื่อว่าเป็น “มือเก๋า” ทางด้านนโยบายต่างประเทศ ยิ่งกว่าอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” ซะด้วยซ้ำ ฯลฯ แนวโน้มความเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย ยิ่งถ้าหากมองถึง “ความจริง-ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่แค่อุดมกง อุดมการณ์ ที่แค่พอช่วยให้ “เท่...แต่ไม่มีจะแ-ก” หรือมองจากแนวโน้มการเงิน-การทองในระบบเศรษฐกิจโลก อย่างที่ “OMFIF” เขาว่าเอาไว้แล้ว ก็น่าจะถือเป็นข่าวดี หรือโชคดี ที่ “แนวโน้มของโลก” อาจกำลังเป็นไปในแนวนี้...