ภาพกองทหารกลุ่มใหญ่สุดท้ายของกองทัพสหรัฐฯ ขนย้ายสัมภาระหนักขึ้นเครื่องบินออกจากฐานทัพอากาศบากรัมในเวลาดึกสงัด เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นการ “แอบ” หนีออกจากค่ายสมรภูมิในลักษณะที่ไม่สง่างามใดๆ ; ไปอย่างเงียบที่สุด แม้แต่ผบ.กองทัพอัฟกานิสถาน (ที่สหรัฐฯ ฝึกมากับมือ) ก็ยังออกมาพูดกับสื่อว่า ไม่ได้รับการแจ้งถึงการขนกองทัพหนีไปเช่นนี้
ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ ทุ่มงบประมาณไปถึง 1 ล้านล้านเหรียญ เพื่อกำจัดศัตรูของสหรัฐฯ คือ กองกำลังอัลกออิดะห์ที่ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอลิบานในอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของอุซามะห์ บิน ลาดิน และได้หยามเกียรติภูมิของสหรัฐฯ ด้วยการทำลายสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ คือ อาคารแฝด World Trade Center ที่มหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2001 และเกือบทำลายอาคารรัฐสภา Capitol Hill รวมทั้งตึกเพนตากอนที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมด้วย
เป็นเวลานานถึง 20 ปีที่กองกำลังสหรัฐฯ ร่วมกับกองกำลังของนาโตได้เข้ายึดเมืองคาบูล และอีกหลายเมืองในอัฟกานิสถาน รวมทั้งจัดตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้น และได้จัดการเลือกตั้งด้วย
เดิมปธน.ทรัมป์ได้ตกลงกับตัวแทนของตอลิบาน (ที่ต้องการให้ทางสหรัฐฯ และกองกำลังนาโตถอนออกจากอัฟกานิสถาน) ว่า หลังสหรัฐฯ ถอนออกแล้วฝ่ายตอลิบานจะต้องไม่ให้การสนับสนุนฝ่ายนักรบอัลกออิดะห์ และไอซิส (ซึ่งยังมีเป้าหมายปฏิบัติการล้มล้างรัฐบาลของตะวันตก...โดยมีการแอบฝึกอาวุธที่อัฟกานิสถานนั่นเอง)
กำหนดการถอนทหารสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ไปทำสัญญาไว้กับตอลิบานคือ วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่ทรัมป์พ่ายแพ้การเลือกตั้ง และรัฐบาลใหม่ภายใต้ปธน.ไบเดน ก็ได้ประกาศจะเลื่อนการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานไปเป็นวันที่ 11 กันยายนปีนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 20 ปีที่สหรัฐฯ ถูกโจมตี
การเลื่อนกำหนดถอนทหารของไบเดน ทำให้ตอลิบานไม่พอใจ และได้ทำการรุกคืบในดินแดนที่ยังอยู่ในการควบคุมของฝ่ายรัฐบาลหุ่นมากยิ่งขึ้น จนขณะนี้ ดินแดนภายใต้อิทธิพลเด็ดขาดของตอลิบานนั้นเกินครึ่งประเทศแล้ว และได้ประกาศกร้าวจะล้างแค้นต่อเหล่าคนอัฟกัน “ผู้ทรยศ” ที่เอาใจไปสวามิภักดิ์ต่อสหรัฐฯ
จนนำมาสู่การประกาศของปธน.ไบเดน หลังวันที่ 4 ก.ค. (วันชาติอเมริกัน) ว่า สหรัฐฯ หมดภารกิจในอัฟกานิสถานแล้ว โดยขณะนี้สหรัฐฯ มีภารกิจที่จะต้องให้ความสำคัญยิ่ง 3 เรื่องคือ 1. เตรียมรับมือกับการระบาดรอบใหม่ของโรคระบาดต่างๆ ซึ่งจะต้องทุ่มเทสรรพกำลังให้เต็มที่ 2. การทุ่มเทด้านนวัตกรรมทุกด้านเพื่อเสริมสมรรถนะในการแข่งขันกับจีน (ที่กำลังไล่กวดมาติดๆ) และ 3. การทุ่มเทรับมือกับปัญหาโลกร้อนอย่างเต็มที่...ก็น่าจะเป็นเหตุผลเพื่อรักษาหน้าสหรัฐฯ ที่มีภารกิจอื่นๆ ที่ต้องรีบดำเนินการ แทนมาทุ่มสรรพกำลังกับการติดหล่มอยู่ในอัฟกานิสถานถึง 20 ปี
ไบเดน ย้ำด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่ควรต้องไปจัดการกับเรื่องภายในของอัฟกานิสถาน ที่คนอัฟกันต้องตัดสินกันเอง
พอผู้สื่อข่าวถามไบเดนว่า แต่ทำไมยังมีกองกำลังสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเต็มไปหมด ตั้งแต่ที่ญี่ปุ่น (โอกินาวา), เกาหลีใต้, ซาอุฯ, บาห์เรน, คูเวต, กาตาร์, อังกฤษ, เยอรมนี, ออสเตรเลีย ฯลฯ
ไบเดนตอบว่า ที่อื่นๆ ไม่เหมือนที่อัฟกานิสถาน เพราะกองกำลังสหรัฐฯ ไปประจำการอยู่ทั่วโลก ก็เพื่อปกป้องประเทศต่างๆ เหล่านั้น จากการถูกรุกรานรังแกจากภายนอก ต่างกับที่อัฟกานิสถานที่หมดความจำเป็นต้องดำรงกองกำลังสหรัฐฯ อยู่ต่อไป เพราะไม่มีการคุกคามจากภายนอก แต่มีปัญหาจากภายในที่จะต้องตกลงกันเอง
น่าจะเป็นเหตุผลที่นำมากล่าว เพื่อกลบเกลื่อนเหตุผลจริงๆ เพราะขณะนี้สหรัฐฯ มองว่า สรรพกำลังจะต้องทุ่มเพื่อการปิดล้อมจีนในอินโด-แปซิฟิกมากกว่าการมีกองกำลังมากมายอยู่ในทั้งตะวันออกกลาง และอัฟกานิสถาน
ช่วงที่มีกองทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน, จำนวนสูงสุดถึง 1 แสน 3 หมื่นคนทีเดียว และที่อิรักก็เป็นจำนวนหลายแสนคนเช่นกัน
ซึ่งการถอนทหารออกจากอิรักแทบทั้งหมด (เหลือไว้แค่ครูฝึกไม่กี่คน) ก็เกือบเกิดขึ้นในสมัยของโอบามาที่เพิ่งเข้าทำเนียบขาวใหม่ๆ แต่ในที่สุด ก็เปลี่ยนใจ (ตามคำขอของรัฐบาลหุ่นที่อเมริกาตั้งขึ้นที่อิรัก) ให้ยังคงทหารเรือนหมื่นอยู่ในอิรัก
จนมาถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ กำลังลดจำนวนทหารอเมริกันในอิรัก และในอัฟกานิสถาน เพื่อโยกย้ายน้ำหนักมาอยู่ทางอินโด-แปซิฟิก เพื่อการปิดล้อมจีนมากขึ้น
สุญญากาศที่เกิดขึ้นทั้งในตะวันออกกลาง และอัฟกานิสถาน จากการถอนกำลังออกไปของสหรัฐฯ ครั้งนี้... จีนได้เห็นโอกาสอันงามที่จะเข้ามาแทนที่ในสุญญากาศอันนี้อย่างทันควัน!
รมต.ต่างประเทศ หวัง อี้ เพิ่งเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง พร้อมการลงนามในความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศในตะวันออกกลาง ในด้านการค้า, การลงทุน, ความร่วมมือทางเทคโนโลยี, พลังงานและวัฒนธรรม ตลอดจนโครงการ BRI ที่จีนมีเงินมหาศาลที่พร้อมให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะอิหร่านที่ยิ่งร่วมมือกับจีนมากยิ่งขึ้น ในด้านพลังงาน (จีนเป็นลูกค้ารายใหม่ของน้ำมันอิหร่าน) และจะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของ BRI ด้วย
เป็นการยิ่งนกด้วยกระสุนนัดเดียว แต่ได้นกเป็นฝูง เพราะไม่เพียงขยายขอบเขตอิทธิพลจีนเข้าตะวันออกกลาง; แต่ชาติมุสลิมเหล่านี้ยังไม่ออกมาต่อต้านจีนในเรื่องที่ตะวันตกกล่าวหาว่าจีนมีการกระทำ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” กับชาวมุสลิมในซินเจียงด้วย ตรงข้ามประเทศมุสลิมเหล่านี้กลับชื่นชมจีนและกระชับสัมพันธ์กับจีนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทันทีที่ไบเดนประกาศถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานภายใน 31 สิงหาคม...รมต.หวัง อี้ก็มีกำหนดการเยือนประเทศรอบๆ อัฟกานิสถาน 3 ประเทศคือ เติร์กเมนิสถาน, ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน ในวันที่ 12-16 กรกฎาคมนี้ ตามคำเชิญของรมต.ต่างประเทศของทั้ง 3 ประเทศ และจะเข้าร่วมประชุมระดับรมต.ต่างประเทศ SCO-Afghanistan Contact Group ซึ่งรมต.หวังอี้จะล็อบบี้เพื่อนำเรื่องการสร้างสันติภาพ และความปรองดองในอัฟกานิสถานให้เป็นหัวข้อสำคัญของกลุ่ม SCO (เซียงไฮ้คอร์ปอเรชัน) ที่มีจีน, รัสเซีย เป็นใจกลาง (ตั้งขึ้นปี 2001) และมีสมาชิกเป็นอดีตเมืองบริวารของโซเวียต รวมทั้งมีอิหร่านเป็นประเทศสังเกตการณ์ด้วย
สุญญากาศที่กำลังเกิดขึ้นจากการถอนกองทัพสหรัฐฯ ออก (อย่างเร่งด่วน) จากอัฟกานิสถาน ถูกมองโดยประเทศรอบๆ อัฟกานิสถานที่อยู่ใน SCO ว่าเป็นความไม่รับผิดชอบของสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ ไม่ต้องการอยู่ต่อจนกำลังมีทีท่าจะเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายตอลิบาน และฝ่ายรัฐบาลหุ่นของสหรัฐฯ ซึ่งความไม่สงบที่กำลังจะเกิดในอัฟกานิสถานครั้งนี้ จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถานเดือดร้อนจากการอพยพของผู้คนทะลักหนีสงครามกลางเมืองข้ามชายแดนมาก่อความวุ่นวายในประเทศของตน
ขณะที่ประเทศรอบๆ อัฟกานิสถานกำลังมองว่า จีนจะสามารถเข้ามาช่วยทำให้เกิดความสงบในอัฟกานิสถาน ด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ ถึงขนาดโฆษกของกลุ่มตอลิบาน นายSuhail Shaheen เพิ่งพูด 2-3 วันนี้ว่า ตอลิบานมองจีนเป็น “เพื่อน” และจะพยายามเจรจาให้จีนมาลงทุน และก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในอัฟกานิสถานโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างอัฟกานิสถานขึ้นใหม่อีกครั้ง!! ซึ่งหลายประเทศเพื่อนบ้านอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะปากีสถานก็ยินดีกับความร่วมมือแน่นแฟ้นกับจีนเพื่อสร้างและพัฒนาอัฟกานิสถานขึ้นมาใหม่
ส่วนจีนนั้น ก็คงจะคลายความวิตกที่สามารถตัดการเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มตอลิบาน และกลุ่มชาวอุยกูร์ในซินเจียงของจีน เพราะจีนไม่ต้องการให้ชาวอุยกูร์ของซินเจียงได้รับการฝึกอาวุธจากกลุ่มอิสลามรุนแรงที่อื่น เช่น ตอลิบาน เป็นต้น
ช่างเป็นโอกาสงามของจีนที่จะแผ่อิทธิพลมาแทนที่สหรัฐฯ โดยเพิ่มพูนกระชับความแน่นแฟ้นกับพันธมิตรใหม่เหล่านี้