xs
xsm
sm
md
lg

แนวรบตะวันออกกลาง-สันติภาพที่ต้องรอคอยกันอีกนาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



วันนี้...สงสัยคงต้องแวะกลับไปแถวๆ “แนวรบตะวันออกกลาง” กันอีกสักครั้ง เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็เกิดการดวลปืนใหญ่ ดวลจรวด ดวลระเบิด ระหว่างกองกำลังทหารอเมริกันกับกองกำลังอาวุธอิสลามในอิรักและซีเรีย ที่สนับสนุนอิหร่าน หรือที่อิหร่านให้ความสนับสนุน แบบชนิดระเบิดเถิดเทิงอยู่พอสมควร...

คือการยิงกันไป-ยิงกันมา ระหว่างบรรดาทหารอเมริกันในตะวันออกกลาง กับบรรดาพวกนักรบอิสลามไม่ว่ากลุ่มไหนต่อกลุ่มไหนนั้น อันที่จริง...ต้องถือเป็นเรื่อง “ปกติ” หรือ “นอร์มอลเฉยๆ” ไม่ได้ถือเป็น “นิว นอร์มอล” แต่อย่างใด แต่การดวลกันไป-ดวลกันมา เมื่อช่วงวัน-สองวันมานี้ ต้องถือเป็นเรื่องน่าจับตา และคงต้องหยิบมาใคร่ครวญ หวนคิด อยู่บ้างตามสมควร เพราะถือเป็นปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นมา ในระหว่างที่คุณพ่ออเมริกาท่านกำลังจัดโต๊ะ นั่งโต๊ะเจรจา อยู่กับตัวแทนของอิหร่าน ที่กรุงเจนีวา เพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ หรือ “JCPOA” แถมทำท่าว่าน่าจะเกิดข้อยุติ เกิดจุดลงตัว จนรัฐบาลอเมริกันยุค “ผู้เฒ่าโจ” อาจหวนกลับไปร่วมมือ ร่วมไม้ ร่วมอยู่ในข้อตกลงดังกล่าว เช่นเดียวกับชาติยุโรป อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รวมทั้งจีนและรัสเซีย หลังจากรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจสะบัดตูด ถอนตัวไปจากข้อตกลงที่ว่า เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา...

พูดง่ายๆ ว่า...ในแง่ของ “แนวรบทางการเมือง” แล้ว อะไรต่อมิอะไรชักทำท่าว่าน่าจะเปลี่ยนๆ ไปบ้างตามสมควร โดยเฉพาะถ้าหากรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่กับรัฐบาลอิหร่าน สามารถหาข้อยุติ หาจุดลงตัว ในเรื่อง “ข้อตกลง JCPOA” ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง เรียกว่า...เล่นเอาศัตรูคู่กัดของอิหร่านอย่างรัฐบาลอิสราเอล ที่ไม่ได้มีนักยุแยงตะแคงรั่ว อย่างนายกรัฐมนตรีคุณลุง “เบนจามิน เนทันยาฮู” คอยยุโน่น ยุนี่ อีกต่อไปแล้ว ถึงกับ “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย” ก็แทบเอาไม่อยู่ ต่อท่าทีทางการเมืองของรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ ไปจนถึงบรรดาพันธมิตรสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง อย่างซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศอ่าวที่ทำท่าอาจต้องปรับเปลี่ยนท่าทีทางการเมืองซะใหม่ ต้องหันมาคิดริเริ่มเจรจากับอิหร่าน หันไปฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับรัฐบาลซีเรีย หรือหันไปทางเลิกๆ สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด อย่าง “สงครามเยเมน” ให้หมดเรื่อง หมดราว ไปซะที ฯลฯ...

แต่ในเมื่อไปๆ-มาๆ...สำหรับ “แนวรบทางการทหาร” ก็ยังคงเหมียนเดิมม์ม์ม์ คือยังต้องดวลปืนใหญ่ ดวลจรวด ดวลระเบิดไปตามปกติ อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ปรากฏการณ์ซึ่งอุบัติขึ้นมาเมื่อวัน-สองวันนี้ เลยต้องถูกนำมาคิด มาใคร่ครวญ พิจารณา ถึงแนวโน้มในอนาคตเบื้องหน้า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ คือถ้าว่ากันตามคำพูด คำชี้แจง ของโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “นายจอห์น เคอร์บี” (John Kirby) ปฏิบัติการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางออกไปทิ้งระเบิดใส่หัวกบาลบรรดานักอิสลามกลุ่มต่างๆ ที่ถูกเรียกขานย่อๆ กันในนาม “PMF” หรือ “Iraqi Popular Mobilization Forces” ซึ่งฝักใฝ่อยู่กับพวกมุสลิมชีอะห์ในอิหร่าน บริเวณแถบชายแดนซีเรียและอิรัก หรือบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัด Abu Kamal ในซีเรีย และ Al Qu’im ในอิรักถึง 3 เป้าหมายซ้อนๆ ด้วยกัน ถือเป็นการ “สั่งการโดยตรง” จากรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ หรือรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” ที่กำลังหาข้อยุติ หาจุดลงตัว อยู่กับอิหร่านในช่วงระหว่างนี้นั่นเอง...

หรือถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “แอนโทนี บลิงเคน” (Antony Blinken) การโจมตีของกองทัพสหรัฐฯ ต่อบรรดานักรบอิสลามที่สนับสนุนอิหร่าน หรืออิหร่านให้การสนับสนุนครั้งนี้ ถือเป็น “การส่งสารที่แจ่มแจ้งและชัดเจนต่อรัฐบาลอิหร่าน” นั่นเอง อันเนื่องมาจากก่อนหน้านั้น...บรรดากองกำลังทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ในอิรัก หรือที่ยังแอบซุ่ม แอบซ่อน อยู่แถวๆ บ่อน้ำมันในซีเรีย เช่น “Omar oil fields” เป็นต้น ต่างต้องเจอกับจรวด ปืนใหญ่ไม่ก็เครื่องบินโดรน ที่เชื่อกันมาว่ามาจากบรรดานักรบอิสลามเหล่านี้คราวแล้ว-คราวเล่า ชนิดหัวหด-หัวหาย ไปเป็นแถบๆ และเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (27 มิ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ยังต้องเจอกับจรวดอีกไม่รู้กี่บ้องต่อกี่บ้อง อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะ “ล้างแค้น-เอาคืน” ให้กับผู้นำ “PMF” อย่าง “นายAbu Mahdi al-Muhandis” ที่เคยถูกรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ลอบสังหารไปพร้อมๆ กับนายพลอิหร่าน อย่าง “พลเอกกอเซ็ม สุไลมานี” (Qasem Soleimani) เมื่อไม่นานมานี้ หรือจะเพราะความพยายามที่จะ “ขับไล่ฐานทัพอเมริกัน” ออกไปจากประเทศอิรัก ตามที่รัฐสภาอิรักได้ลงมติเอาไว้แล้ว ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...

แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหาก “เครื่องจักรสังหาร” ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในโลก อย่างกองทัพอเมริกัน ดันคิดจะ “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ โอกาสเสียหมา เสียสุนัข เสียวงศ์อสัญแดหวา ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ การออกคำสั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกัน ไปหย่อนระเบิดใส่หัวกบาลบรรดานักรบอิสลามที่อิหร่านให้การสนับสนุนเหล่านี้ ไม่ว่าในแถบซีเรียหรืออิรัก จึงถือเป็นการส่งสารถึงรัฐบาลอิหร่านไปในตัวว่า “อย่าแหย่...เสือหลับ” อะไรทำนองนั้น แม้ถือเป็นการล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศอิรักและซีเรีย อย่างเห็นได้ชัดเจนก็ตาม...

ดังนั้น...แม้ว่า “แนวรบทางการเมือง” ในตะวันออกกลางทำท่าว่าน่าจะเปลี่ยน แต่ “แนวรบทางการทหาร” กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ยังคงต้องยิงกันไป-ยิงกันมา อยู่เช่นเดิม อันนี้นี่แหละ...ที่เลยยังมิอาจหาข้อสรุปได้ชัดเจนลงไปซะทีเดียวนัก ว่าสุดท้ายแล้ว...รัฐบาลอเมริกันจะเดินไปในแนวไหน??? สำหรับการดำเนินนโยบายในตะวันออกกลางนับจากนี้เป็นต้นไป โดยถ้าว่ากันตามกระแสเสียงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายSaeed Khatibzadeh” ที่ได้ออกมาสรุปเอาไว้แล้วล่วงหน้า ว่าการตัดสินใจปฏิบัติการทางทหารด้วยการทิ้งระเบิดใส่นักรบอิสลามในซีเรียและอิรักคราวนี้ ถือเป็น “การเดินไปสู่หนทางที่ผิดพลาดของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง” ส่วน “หนทางที่ถูกต้อง” ในความหมายของอิหร่าน ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “การถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ทั้งมวลออกไปจากภูมิภาคนี้ แล้วปล่อยให้ประชาชนเจ้าของแต่ละประเทศตัดสินใจกันเอง” อันเป็นสิ่งที่แม้จะง่ายแสนง่าย แต่น่าจะ “ยากส์ส์ส์” ที่จะเป็นไปได้ สำหรับประเทศอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ ที่ยังคงหวังที่จะ “Take America Back Again” ให้จงได้!!!

โดยเฉพาะถ้าฟังจากน้ำเสียง จากคำพูดโดยตรง ของผู้นำอเมริกันรายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ที่ไม่ว่าออกไปทาง “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ สเตียรอยด์” ก็แล้วแต่ ที่กล่าวเอาไว้ต่อหน้าประธานาธิบดีอิสราเอล “นายริวเวน ริฟลิน” (Reuven Rivlin) ขณะเดินทางไปเยือนรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมืองเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา หรือก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอลรายใหม่จะเดินทางไปเยือนอเมริกาอีกครั้ง ว่า... “พันธกรณีที่รัฐบาลอเมริกันมีต่ออิสราเอลนั้น แข็งแกร่งประดุจเหล็ก” หรือถือเป็น “กฎเหล็ก” อย่างที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านั้น คือขึ้นชื่อว่า “อเมริกา” แล้วล่ะก็ ยังไงๆ...คงต้องหนุนหลังอิสราเอลอยู่แล้วแน่ๆ ชนิดอาจถือเป็น “คำมั่นสัญญา” ที่แน่นเหนียว มั่นคง เอามากๆ ว่าตราบใดที่ “ผู้เฒ่าโจ” ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ “อิหร่านไม่มีวันที่จะมีโอกาสครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้โดยเด็ดขาด!!!”...

ดังนั้น...สำหรับแนวโน้มของ “แนวรบตะวันออกกลาง” ภายในอนาคตเบื้องหน้า คงหนีไม่พ้นต้องสรุปว่า ต้องชักเข้า-ชักออก ต้องยืดไป-ยืดมา หรือยังต้องยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก กันไปอีกตราบนานเท่านานนั่นแหละทั่น!!! หรือยังคงต้องอาศัยทั้ง “พลังอำนาจทางการเมือง” และ “พลังอำนาจทางการทหาร” สลับไป-สลับมาไปเป็นระยะๆ รวมทั้งโอกาสที่ฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง จะพลาดท่าเสียที หนียะย่าย พ่ายจะแจ จนเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถกำหนด “สงครามและสันติภาพ” ได้แบบสบายๆ เผลอๆ...อาจต้องรอไปจนกว่าน้ำจะท่วมหลังเป็ดโน่นเลย...




กำลังโหลดความคิดเห็น