เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปติดตามบทบาท ท่าที ความเคลื่อนไหว ของบรรดาลูกๆ หลานๆ พระจักรพรรดิไซรัส มหาราช อดีตกษัตริย์เปอร์เซีย หรือประเทศ “อิหร่าน” เขานั่นแหละ ที่ช่วงหลังๆ นี้...ออกจะมีอะไรน่าคิดสะกิดใจ น่าสนใจ มิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีรายใหม่ ในวันศุกร์ที่ 18 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ การเจรจารอบที่ 5 รอบที่ 6 กับคุณพ่ออเมริกา ในเรื่อง “ข้อตกลงนิวเคลียร์” หรือ “JCPOA” ที่กรุงเวียนนา ในช่วงวันเสาร์ที่ 12 มิ.ย. ที่อาจกลายเป็นการ “เจรจารอบสุดท้าย” เอาเลยก็ไม่แน่!!! ไปจนถึงการส่งเรือรบ เรือพิฆาต 2 ลำ แล่นเข้าไปป้วนๆ เปี้ยนๆ ในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรก หรือแถวๆ หน้าบ้านคุณพ่ออเมริกา จนก่อให้เกิดความฮือฮา เกิดอาการหูแหก-ตาแหก ต่อบรรดานักการเมืองอเมริกันจำนวนมิใช่น้อย...ฯลฯ ฯลฯ....
คือถึงแม้ประเทศหนึ่งในพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อย่างอิหร่าน...อาจถือเป็น “คู่กัด” หรือ “คู่อาฆาต” กับมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด หรือหลังจากการ “ปฏิวัติอิสลาม” เป็นต้นมา และในช่วงรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ต้องเรียกว่า...ถูกไล่อัด ไล่บี้ ไล่ขยี้ ชนิดหนักหนา-สาหัสที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการอาศัยมาตรการ “แซงชั่น” เล่นงานอิหร่านไม่ว่าในแง่รัฐบาล องค์กร สถาบัน ตัวบุคคล ประชาชน ฯลฯ ทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ จนกระทั่งเรื่องสุขภาพ เรื่องอาหารและยารักษาโรค ฯลฯ ก็ไม่คิดจะยกเว้น แต่หลังจากที่ “โจ ซึมเซา” ขึ้นมาเป็นรัฐบาล แนวโน้มที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่อง “ข้อตกลงนิวเคลียร์” หรือ “JCPOA” ที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ได้ตัดสินใจ “ถอนตัว” ออกจากข้อตกลง ตามการยุแยงตะแคงรั่วของอิสราเอล ตั้งแต่ปีค.ศ. 2018 ดูจะมีความเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นไปได้ที่รัฐบาลแห่งพรรคเดโมแครต จะหันกลับไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงดังกล่าว เหมือนดังที่รัฐบาล “โอบามา” เคยกระทำการเอาไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมๆ กับที่อิหร่านยอมชะลอ หรือเหนี่ยวรั้ง การยกระดับสมรรถนะยูเรเนียม ให้เป็นไปตามที่บรรดาประเทศ “G4+1” (จีน-รัสเซีย-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมนี) รวมทั้งอเมริกามุ่งหมายและต้องการ...
พูดง่ายๆ ว่า...หลังจากเปิดฉากเจรจากันมาร่วมเดือน ระหว่างอิหร่านกับตัวแทนประเทศ “G4+1” และตัวแทนของอเมริกาประมาณ 5 ครั้งมาแล้ว ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มาถึง ณ ขณะนี้ หรือก่อนการเจรจาครั้งที่ 6 ที่เริ่มต้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 มิ.ย.) ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะ “คืบหน้า” ไปในแนวโน้มในลักษณะที่ว่า ไม่ว่าจะฟังจากน้ำเสียงของตัวแทนเจรจาฝ่ายอเมริกา อย่างรองรัฐมนตรีต่างประเทศ “Wendy Sherman” หรือตัวแทนฝ่ายอิหร่าน รองรัฐมนตรีต่างประเทศ “Syed Abbas Araqchi” ที่ถึงกับไปให้การในรัฐสภาอิหร่าน ว่าฝ่ายอเมริกาได้แสดงเจตนาพร้อมที่จะยกเลิกการ “แซงชั่น” นับร้อยๆ พันๆ ชนิดเกลี้ยงกันไปทั้งแผง หรือจากตัวแทนฝ่ายรัสเซีย “นายMikhail Uliyanov”ที่ถึงกับคาดว่าการเจรจาในรอบนี้อาจเป็น “รอบสุดท้าย” เอาเลยก็ไม่แน่ เช่นเดียวมุขมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายWang Yi” ที่สรุปว่าการเจรจารอบสุดท้าย กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็วเอามากๆ หรือการกลับมาร่วมข้อตกลง “JCPOA” ของอเมริกา และการยกเลิกการ “แซงชั่นอิหร่าน” อาจอุบัติขึ้นมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...
และอันนี้นี่เอง...ที่อาจทำให้ “แนวรบในตะวันออกกลาง” หรือการเมืองในตะวันออกกลาง อาจเริ่มเปลี่ยนจาก “หลังตีน” มาเป็น “หน้ามือ” เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะบรรดาประเทศพันธมิตรอเมริกาในตะวันออกกลาง ที่แม้เคยร่วมรำดาบ ฟ้อนดาบ กับ “ทรัมป์บ้า” ร่วมต่อต้าน “ภัยคุกคามอิหร่าน” แบบชนิดเอาเป็น-เอาตาย อย่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ชักทำท่าว่าจะเริ่ม “ถอดใจ” ขึ้นมามั่งแล้ว หรือเริ่มคิดหันกลับไปฟื้นฟู “สัมพันธภาพโดยปกติ” กับประเทศอิหร่าน รวมทั้งหันไปรื้อฟื้นสัมพันธภาพกับรัฐบาลประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” แห่งซีเรีย อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว ดังที่นักวิจัยอาวุโสแห่งซาอุฯ หรือแห่งสถาบัน “Gulf Research Center” อย่าง“Abdulaziz Sager” ได้สรุปความไว้กับผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “บรรดาประเทศอ่าวเปอร์เซีย คงได้แต่บอกว่าเรายินดีที่สหรัฐฯ อาจกลับเข้าสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจของพวกเขาที่เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และในเมื่อเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับอิหร่าน เราจึงต้องการให้ทุกๆ ฝ่ายคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงโดยรวมภายในภูมิภาค” หรือคงหนีไม่พ้นที่ต้องหันไปเปิดฉากเจรจากับอิหร่าน ว่าจะหาทางหยุดยั้ง “จรวด” ของพวกกบฏฮูตีในเยเมน หรือเลิกๆสงครามที่ดำเนินมาตลอดช่วง 6 ปี ลงไปในแบบไหน อย่างไร ด้วยตัวของตัวเอง เพราะไม่อาจพึ่งพาอาศัยความเป็นพันธมิตรกับอเมริกาได้อีกต่อไปแล้ว ประมาณนั้น...
ส่วน “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกา อย่างอิสราเอล...ช่วงระหว่างนี้ก็น่าจะยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ว่า “รัฐบาลใหม่” ของอิสราเอล จะสามารถ “ถีบ” ผู้นำรายเก่า อย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ให้หลุดไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการลงมติในรัฐสภาอิสราเอล ช่วงวันอาทิตย์ (13 มิ.ย.) นี้ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่การหวนกลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” ของอเมริกา คงต้องถือเป็น “โจทย์การเมือง” ข้อใหญ่ สำหรับรัฐบาลอิสราเอลอยู่แล้วแน่ๆ ว่าจะหาทางรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลักษณะดังกล่าวแบบไหน? และอย่างไร? ถึงสามารถลด “ภัยคุกคามอิหร่าน” อันเป็นสิ่งที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีรายใหม่ อย่าง “นายNaftali Bennett” เคยแสดงความเกลียด ความกลัว ไม่น้อยไปกว่า “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” มากมายสักเท่าไหร่...
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านี้ก็คือ...ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้นี่แหละ กองทัพอิหร่านได้ตัดสินใจส่งเรือพิฆาต “Sahand” และ “Makran” แล่นออกจากเมืองท่า “Bandar Abbas” ตั้งแต่ช่วงวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา อ้อมแหลมกู๊ดโฮปมุ่งหน้าสู่มหาสมุทรแอตแลนติก หรือมุ่งตรงไปยังประเทศสวนหลังบ้านอเมริกาอย่างเวเนซุเอลา อันถือเป็นครั้งแรกที่เรือรบอิหร่านเริ่มอวดธง โชว์ธง อยู่ในน่านน้ำแห่งนี้ เล่นเอาบรรดานักการเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะประเภทที่จงเกลียด จงชัง ผู้นำเวเนซุเอลา อย่างประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” มาโดยตลอด เช่น “นายMarco Rubio” เป็นต้น ต้องออกมาเร่งเร้า เรียกร้อง ให้กองทัพอเมริกันหาทาง “ทำอะไรสักอย่าง” เพราะเรือพิฆาตลำดังกล่าว อาจถือเป็นจังหวะขนจรวด ขนขีปนาวุธ ไปมอบให้กับกองทัพเวเนซุเอลาตามข่าวล่า ข่าวลือ เอาเลยก็ไม่แน่!!! อันถือเป็นล่วงละเมิดมาตรการ “แซงชั่น” เวเนซุเอลาของอเมริกา แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกัน “พลเอกLlyod Austin” ออกมาพูดกับผู้สื่อข่าว ถึงสิ่งที่พอจะทำได้ในช่วงนี้ ก็เพียงแค่ “เฝ้าติดตาม” ความเคลื่อนไหวของเรือรบอิหร่าน ในgreat concern” ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง...
สรุปรวมความแล้ว...จากบทบาท ท่าที ความเคลื่อนไหวของศัตรู-คู่กัดอเมริกา อย่างอิหร่าน แต่ถือเป็น “พันธมิตรทางยุทธศาสตร์” อันเหนียวแน่น หนึบหนับ กับจีนและรัสเซีย ทำให้อดหวนไปนึกถึงข้อเขียน บทความ ของอดีตทูตอินเดียหรือคอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” อย่างท่าน “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” (MK. Bhadrakumar) เรื่อง “Biden actually wants to engage Russia and China” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาเรียบเรียงเผยแพร่ต่อ เมื่อวัน-สองวันนี้ ในชื่อว่า “จริงๆ แล้ว...ไบเดนต้องการปรับปรุงสัมพันธภาพกับรัสเซียและจีน ท่ามกลางการต่อต้านของพวกหวาดระแวงที่ยังมีอยู่มากมาย” ขึ้นมาไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า...ความเคลื่อนไหวของอิหร่าน บน “กระดานหมากรุกทางการเมือง” ช่วงนี้ ต้องเรียกว่า....แทบไม่ต่างอะไรไปจากการเคลื่อน “ม้า” เข้าไปใกล้ๆ “ขุน” เข้าไปทุกที เพียงแต่ยังไม่ได้เปล่งเสียงคำว่า “รุกฆาต” เท่านั้นเอง!!! และการที่ผู้นำอเมริกา อย่างผู้เฒ่า “โจ ไบเดน” ยังไม่ถึงกับแสดงปฏิกิริยาในแบบตาเหลือก ตาลาน อาจเป็นเพราะความต้องการที่จะ “ปรับปรุงสัมพันธภาพกับรัสเซียและจีน” ตามข้อคิด ข้อสังเกต ของอดีตทูตอินเดียก็เป็นได้???