xs
xsm
sm
md
lg

ใกล้จังหวะเริ่มต้น “ระเบียบโลกแบบใหม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน อิบราฮิม ไรซี ชนะการเลือกตั้ง ปธน.อิหร่านคนใหม่
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเหลือบไปดู “เลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่าน” เขาไว้สักหน่อย เพราะบรรดาลูกหลานจอมกษัตริย์ “ไซรัส มหาราช” แห่งเปอร์เซีย เขาเพิ่งหย่อนบัตรเลือกตั้งกันไปเมื่อช่วงวันศุกร์ (18 มิ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อหาผู้นำรายใหม่มาแทนที่ประธานาธิบดีคนเก่า “นายฮัสซัน โรฮานี” (Hossein Rouhani) ที่ต้องหมดวาระลงไป หลังเป็นประธานาธิบดีมาได้ครบ 2 เทอม 2 สมัย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวุฒิสมาชิก 250 ราย หรือ “ผู้กองธรรมนัส”มากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะทุกสิ่งทุกอย่าง...น่าจะอยู่ในมือของ “ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุด”และ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด”อย่างท่านอยาตอลเลาะห์ “อาลี คาเมเนอี” (Ali Hosseini Khamenei) อย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแล...

อย่างไรก็ตาม...ผู้ที่ว่ากันว่าน่าจะ “นอนมา” แบบไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า...คงหนีไม่พ้นไปจากอดีตประธานศาลสูงสุด “นายอิบราฮิม ไรซี” (Ebrahim Raisi) ที่ออกจะใกล้ชิดกับท่านอยาตอลเลาะห์ “อาลี คาเมเนอี” มากซะยิ่งกว่าประธานาธิบดีรายเก่าอีกด้วยต่างหาก แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ “ศัตรูคู่กัด” อย่างคุณพ่ออเมริกา โดยเฉพาะในยุค “ทรัมป์บ้า” ออกจะเหม็นขี้หน้า หรือไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่นัก คือเป็นหนึ่งในบรรดา “ตัวบุคคล” ที่ถูก “แซงชั่น” โดยอเมริกา ด้วยข้อหาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน กับการสั่งประหารนักโทษการเมือง เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1980 และเกี่ยวพันกับการสั่งปราบปราม เล่นงาน ผู้ที่ก่อความไม่สงบในประเทศอิหร่าน เมื่อปี ค.ศ. 2000...

แต่ดูเหมือนว่า...การต่อต้าน การแซงชั่นเหล่านี้ น่าจะใกล้หมดสภาพลงไปในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ อันเนื่องมาจากแนวโน้มที่อเมริกาและอิหร่าน จะบรรลุข้อตกลงในการเจรจาหารือที่กรุงเวียนนาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ค่อนข้างเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือจะทำให้อเมริกาต้องหวนกลับไปสู่ข้อตกลงเดิมๆ ที่รัฐบาล “โอบามา”ได้เริ่มต้นเอาไว้ นั่นคือ “ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน” หรือ “JCPOA”อันมีชาติยุโรป รัสเซียและจีน รวมกัน 6 ชาติ ร่วมกำหนดรายละเอียดต่างๆ ในการถ่วงรั้งไม่ให้การยกระดับสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน นำไปสู่การเสริมสร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้ง่ายๆ แต่ดันถูกรัฐบาลอเมริกายุค “ทรัมป์บ้า”ฉีกทิ้งและถอนตัวซะเฉยเลย เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2018 โดยการหวนกลับไปสู่ข้อตกลงดังกล่าว ย่อมทำให้บรรดามาตรการ “แซงชั่น” ทั้งหลาย ต้องถูกยกเลิกไปพร้อมๆ กับการหยุดยั้งการยกระดับสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน แบบชนิดยื่นหมู-ยื่นแมว อะไรประมาณนั้น...

และถ้าหากแนวโน้มดังกล่าวเป็นไปลักษณะที่ว่า...ก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีรายใหม่ของอิหร่านจะเป็นใคร เป็นผู้หนึ่ง-ผู้ใด แต่บทบาท อิทธิพลของอดีตจักรวรรดิแห่งนี้ ในเวทีการเมืองโลก ณ อนาคตเบื้องหน้า น่าจะยิ่งมาแรงแซงโค้งยิ่งเข้าไปใหญ่ หรือทำให้ความเป็น “พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง”ของอิหร่าน ยิ่งสดใส ซาบซ่า อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ขณะที่บทบาทของบรรดา“พันธมิตร” ของคุณพ่ออเมริกาในภูมิภาคแห่งนี้ น่าจะเริ่มหงอยลงๆ ไปตามลำดับถึงขั้นที่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องหันมาคิดริเริ่มเจรจากับคู่แข่งคู่กัด อย่างอิหร่านกันมั่งแล้ว ขณะที่ “ศัตรูคู่อาฆาต” อย่างอิสราเอล ที่เพิ่งดิ้นรนหลุดพ้นจากอำนาจตามยุทธศาสตร์ 12 ปี หรือ 20 ปีก็แล้วแต่ ของอดีตนายกรัฐมนตรี “คุณลุงเนทันยาฮู” หรือ “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ไปหมาดๆ ก็น่าจะลดความเร่าร้อนรุนแรงในการต่อต้าน “ภัยคุกคามอิหร่าน” ลงไปได้มั่ง ไม่มากก็น้อย...

ยิ่งจาก “ข่าวล่า-มาเรือ”คราวล่าสุด...หรือจาก “รายงานข่าว” ของหนังสือพิมพ์ “The Wall Street Journal” เมื่อช่วงวันศุกร์ (18 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า...กองทัพอเมริกันได้ตัดสินใจสั่งถอน “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ”ตั้งแต่ระบบ “MIM-104 Patriot air defense batteries”ไปจนถึงระบบ “THAAD”(Terminal High Altitude Area Defense) ออกจากแนวป้องกันในภูมิภาคตะวันออกกลางไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าในอิรัก คูเวต จอร์แดน ไปจนถึงซาอุดีอาระเบีย จะด้วยเหตุผลว่าเพื่อมาซ่อมสร้าง ซ่อมแซมใหม่ ตามที่ระบุไว้ในรายงานข่าว หรือจะด้วยเหตุผลอื่นๆ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน และบรรดาทหารอเมริกันที่เคยทำหน้าที่ควบคุม ดูแล บรรดาระบบป้องกันภัยทางอากาศเหล่านี้ นับเป็นร้อยๆ จะต้องถอนตัวออกจาก “แนวรบตะวันออกกลาง”ด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด...

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ย่อมน่าจะส่งผลให้บรรดา “พันธมิตร”ของอเมริกาในตะวันออกกลาง อาจต้อง “ถอดใจ”กันไปเป็นแถบๆ แม้ว่าผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการกลางสหรัฐฯ อย่าง “พลเอกเคนเนธ แม็คเคนซี” (Kenneth F. Mckenzir Jr.) จะออกมายืนยัน นั่งยัน ว่ากองทัพสหรัฐฯ ยังพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือต่อพันธมิตรอย่างซาอุฯ ถ้าหากถูกโจมตีโดยอิหร่าน หรือโดย “ตัวแทน” (proxy) ของอิหร่านก็ตามที แต่ก็นั่นแหละ...การหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” แทนที่จะอยู่กันแบบ “คู่แข่ง” หรือ “คู่อาฆาต” เหมือนอย่างเคย ย่อมทำให้พันธมิตรรายสำคัญของอเมริกาอย่างราชอาณาจักรซาอุฯ หนีไม่พ้นต้องหันไปริเริ่มเจรจากับอิหร่าน หันไปฟื้นฟูสัมพันธภาพโดยปกติกับซีเรีย ไปจนถึงมองหาความเป็นไปได้ที่จะยุติสงครามเยเมนฯลฯ ซึ่งเริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...คุณพ่ออเมริกาท่านจะหันไปเน้นน้ำหนัก หันไปให้ความสำคัญกับการต่อต้าน “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย อันเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นหนึบหนับกับอิหร่านหรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่สรุปชัดเจนอีกนั่นแหละแต่ด้วยการ “ประชุมสุดยอด”ผู้นำ 2 อภิมหาอำนาจ หรือการพบปะ เจรจา ระหว่างผู้นำอเมริกา “โจ ซึมเซา”กับผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” คราวนี้ ย่อมถือเป็นการแสดงออกถึงความพร้อมยอมรับ พร้อมที่จะจับมือกับผู้ที่ตัวเองเคยระบุว่าเป็น “ฆาตกร” หรือ “นักฆ่า”อย่างให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ไปจนแม้แต่ความพยายามฉุดกระชากลากถู ให้อดีตพันธมิตรผู้เคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่ กันมานาน อย่างกลุ่มประเทศ “G7”มาร่วมต่อต้านจีนและรัสเซีย ซึ่งไม่ถึงกับเป็นน้ำ-เป็นเนื้อ มากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะบรรดาประเทศยุโรปหลายต่อหลายราย ไม่ว่าอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ ยังคงอาลัย-อาวรณ์ ต่อเงินๆ-ทองๆ หรือต่อสัมพันธภาพทางการค้าระหว่างจีนกับอียู ต่อปัญหาพลังงานระหว่างรัสเซียกับยุโรป เป็นต้น...

อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์การเมืองระหว่างประเทศจำนวนไม่น้อย เลยค่อนข้าง “เชื่อ” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า สุดท้ายแล้ว...ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศมาเป็นจำนวนมิใช่น้อย อย่างคุณทวด “โจ ซึมเซา” ท่านน่าจะหันมาเล่น “หมากล้อม” กับจีนและรัสเซีย แทนที่จะหันไปโขก “หมากรุก”แบบโป๊กๆๆ อย่างที่รัฐบาลเก่าในยุค “ทรัมป์บ้า” เคยประพฤติปฏิบัติเอาไว้ก่อนหน้านั้น หรือหันมายอมรับ “ความจริง” ที่ว่า...ยุคสมัยแห่งระบบการปกครองโลกโดยมีอเมริกาเป็นผู้นำ หรือ “Pax Americana” มันได้ผ่านพ้น ล่วงเลย ไปอย่างมิอาจหวนกลับคืนมาแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป การอุบัติขึ้นมาของพันธมิตร หรือแนวร่วม ระดับ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์”อย่างจีน-รัสเซีย-และอิหร่าน อันสุดจะแน่นเหนียว หนึบหนับ กำลังทำให้โลกใบนี้ มิอาจหวนกลับไปสู่จุดเดิมๆ ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องหันมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ระบบและระเบียบต่างๆ ของโลกขึ้นมาใหม่ อันเป็นอะไรที่ “ง่าย”ซะยิ่งกว่าการหันไปปรับปรุง สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน”ตามแบบฉบับตะวันตก ที่มีแต่สาละวันเตี้ยลง...เตี้ยลง ยิ่งเข้าไปทุกที...




กำลังโหลดความคิดเห็น