วันนี้...สงสัยคงต้องแวะกลับไปเยี่ยมบรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน หรือบรรดาชาวยิวแห่งประเทศอิสราเอลกันดูสักหน่อย เพราะเพิ่งเห็น “ข่าวล่า-มาเรือ” ข่าวแวบๆ จากสำนักข่าว “อัลจาซีราห์” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (30 พ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง...ว่าโอกาสที่ “คุณลุงเนทันยาฮู” ผู้นำอิสราเอลที่ “อยู่ยาวว์ว์ว์” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาถึง 12 ปี มากซะยิ่งกว่า “คุณลุงบิ๊กตู่” บ้านเรา ที่ยังคง “เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน ฮึ๊มฮึม ฮึ๊มหึ่ม” อยู่จนกระทั่ง ณ บัดนี้ อาจถึงจุดที่ต้องปิดฉาก ปิดผ้าม่านกั้ง กันในอีกแค่ไม่กี่อึดใจ หรืออีกวัน-สองวันนับจากนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ด้วยเหตุเพราะ “อู๊ดด้า” หรือ “เสี่ยหนู” แห่งอิสราเอลก็แล้วแต่...คือ “นายNaftali Bennett” พันธมิตรฝ่ายขวาแห่งพรรค “Yamina” ได้ตัดสินใจพลิกลิ้น พลิกข้าง หันไปร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้านของ “นายYair Lapid” แห่งพรรค “Yesh Atid” ที่สามารถรวบรวมบรรดานักการเมืองฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง ฝ่ายซ้าย ฝ่ายยิวและอาหรับ ให้มาร่วมเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันได้ โดยไม่ต้องเสียเวลา “กลับไปเลือกตั้งกันใหม่” ที่อาจปาเข้าไปเป็น “ครั้งที่ 5” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะจากการเลือกตั้งถึง 4 ครั้ง ในช่วงระยะเพียงแค่ 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเลือกแบบไหน อย่างไร ขนาด “คุณลุงเนทันยาฮู” พยายามไปลากเอาคุณพ่ออเมริกามาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการหาเสียงก็แล้ว เอาชีวิตของชาวอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์ มาใช้เป็น “เหยื่อ” ก็แล้ว แต่ยังไงๆ...ก็ยัง “จัดตั้งรัฐบาลอิสราเอล” ไม่สำเร็จ-ไม่ลงตัวกันซักกะที...
การตัดสินใจพลิกลิ้น พลิกข้าง ของอดีตรัฐมนตรีกลาโหมวัยหนุ่ม อายุแค่ 49 ปีเท่านั้นเอง ของ “นายNaftali Bennett” นั้นว่ากันว่า...เกิดขึ้นภายหลังจาก “สงคราม 11 วัน” ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ได้จบลงไปเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ โดยไม่ว่าจะด้วย “สาเหตุ” ใดๆ ก็แล้วแต่ จะเพราะรู้สึกหมั่นไส้ รู้สึกเขม่น ต่อการเล่นบทเป็น “พระเอก” ของ “นายเนทันยาฮู” ที่ฉวยจังหวะ “ตีกิน” จนนักการเมืองรายอื่นๆ แทบไม่เหลือบทให้เล่น ถูกรวบอำนาจตามกฎหมาย 37 ฉบับเอาไว้ในมือคนคนเดียว (ประทานโทษ...ดันนอกเรื่องไปอีกซะแว้วว์ว์ว์) หรือจะด้วยเหตุผล กลใด ก็เหอะ เอาเป็นว่า...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง “นายNaftali Bennett” ก็ได้บรรลุข้อตกลงกับ “นายYair Lapid” ในอันที่จัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงผู้สนับสนุนในสภาฯ “Knesset” เกินกว่า 61 เสียงได้สำเร็จ ตามกำหนดเส้นตายของประธานาธิบดี “Reuven Rivlin” ที่ได้ขีดเส้นไว้ก่อนหน้านี้...
โดยว่ากันว่า... “นายNaftali Bennett” จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกันก่อนเป็นอันดับแรก หรือไปจนกว่าจะถึงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2023 ต่อจากนั้นก็จะ “บายต่อ” ไปให้กับ “นายYair Lapid” ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2025 การสามารถหาจุดลงตัว สามารถแบ่งเค้ก แบ่งขนม ได้อย่างอิ่มท้อง-สมองแน่น ไปด้วยกันทั้งคู่นี่เอง เลยทำให้โอกาสที่นายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู” จะตีตั๋วยาวต่อไปอีกไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี หรือหันไป “เลือกตั้งครั้งที่ 5” เพื่อหวังกลับมาเป็นผู้นำประเทศอิสราเอลต่อไปให้จงได้ แม้จะถูกผู้คนประท้วง ต่อต้าน คัดค้าน ถูกอัยการอิสราเอลกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน ทุจริต ติดสินบน คาโรง คาศาล อยู่จนทุกวันนี้ จึงเป็นอะไรที่...ริบๆๆ หรี่ ยิ่งเข้าไปทุกที หรือเป็นไปอย่างที่สำนักข่าว “อัลจาซีราห์” เขาโปรยพาดหัวข่าวเอาไว้นั่นแหละว่า... “Israel: End of the Benjamin Netanyahu era may be near.” หรือช่วงเวลาแห่งยุคเนทันยาฮู อาจกำลังใกล้ยุติในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้...
อย่างไรก็ตาม...การหันมาพลิกลิ้น พลิกข้าง จนเกิดข้อยุติ เกิดจุดลงตัว ระหว่างพรรคฝ่ายขวาอย่างพรรค “Yamina” กับพรรคพันธมิตรต่อต้าน “นายเนทันยาฮู” อย่างพรรค “Yesh Atid” ได้นั้น “นายYair Lapid” ผู้นำพรรคที่ได้รับการวางตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรีทางเลือกต่อจาก “นายNaftali Bennett” ก็ได้พยายามให้คำอธิบายที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย ดังคำพูดที่ว่า... “การประนีประนอม หาใช่สิ่งสกปรก รกรุงรัง สำหรับโลกใบนี้ก็หาไม่ แต่มันเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันภายในโลกใบนี้ซะมากกว่า และการร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลอิสราเอลในครั้งนี้...ก็คงไม่ได้ทำให้ความเป็นยิว หรือความเป็นไซออนิสต์ จะต้องลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใด ไม่เชื่อสามารถรอดูได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่มันเป็นความพยายามที่จะลดระดับความรุนแรงและความโกรธ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราโตขึ้น มีโอกาสประสบความรุ่งเรืองได้มากขึ้น อีกทั้งยังอาจช่วยให้เรารำลึกถึงสิ่งที่ดีกว่าเท่าที่เรากำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้...” นี่...ต้องเรียกว่า ถือเป็นทัศนะ มุมมอง ที่ออกจะประณีต นุ่มนวลและลึกซึ้ง ไม่น้อยทีเดียว...
คือถือเป็นความพยายามหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ระหว่างฝ่ายขวา-ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายกลาง ไปจนถึงฝ่ายยิวและอาหรับ ภายในประเทศอิสราเอลที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะถ้าแต่ละพรรคสามารถลงนามบรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันภายในช่วงวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.อย่างชนิดผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาซะก่อน รวมทั้งสามารผ่านการโหวตเสียงภายในสภาฯ “Knesset” ช่วงวันพุธที่ 2 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ได้แบบตลอดรอดฝั่ง รัฐบาลอิสราเอลชุดนี้...ก็น่าจะเป็นรัฐบาลที่ไม่ถึงกับโหดเหี้ยมอำมหิตมากมายจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรัฐบาลของ “นายเนทันยาฮู” ตลอดช่วงระยะ 12 ปีที่ผ่านมา ส่วนจะส่งผลให้ “สงครามและสันติภาพ” ภายในภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นไปในรูปไหน? และอย่างไร? อันนั้น...คงค่อยตามไปดูกันอีกที...
เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว...บรรยากาศดีๆ หรือบรรยากาศที่ออกไปใน “แง่บวก” ไม่ใช่ “แง่ลบ” ใน “แนวรบตะวันออกกลาง” ช่วงหลังๆ นี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย การแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย ความเอือมระอาต่อ “สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ระหว่างพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ กับประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างเยเมน ถึงกับทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ ต้องออกมา “แบะท่า” อยากหาทางเลิกๆ ซะให้ได้ แม้กระทั่งการคิดริเริ่มที่จะเจรจาระหว่าง 2 พี่เบิ้มอย่างซาอุฯ กับอิหร่าน ที่ถือเป็นครั้งแรก ที่ระดับโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายSaeed Khatibzadeh” ออกมาพูดจาและยอมรับอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ระหว่างอเมริกากับอิหร่านที่กรุงเวียนนาที่ตัวแทนฝ่ายอิหร่านออกมาเปิดเผยด้วยตัวเอง ว่าอเมริกาอาจกำลังคิดยกเลิกการ “แซงชั่น” ระดับหนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งยุค “ทรัมป์บ้า” เอาเลยก็ไม่แน่ เพราะทุกวันนี้...การ “สั่งเข้า” น้ำมันอิหร่านและน้ำมันรัสเซีย ไปยังอเมริกาก็ยังดันอุบัติขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วง “แซงชั่น” ก็ตาม ฯลฯ ฯลฯ....
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่มันทำให้การหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” อันถือเป็น “ความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันภายในโลกใบนี้” ดังที่ผู้นำพรรค “Yesh Atid” แห่งอิสราเอล อย่าง “นายYair Lapid” ว่าไว้...ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะเมื่อแต่ละฝ่ายมองเห็นถึงคุณค่า ราคา ของประโยชน์ “ส่วนรวม” มากกว่า “ส่วนตัว” แบบจริงๆ จังๆ โอกาสที่แนวทางแห่งสันติภาพ อาจกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่าแนวทางแห่งสงคราม ย่อมมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นๆอย่างมิอาจปฏิเสธได้ อีกทั้งยังถือเป็นตัวช่วยยืนยันถึงความถูกต้องตามแนวทางทฤษฎี ของปรมาจารย์แห่งสงคราม อย่าง “ท่านประธานเหมา” ซะอีกด้วย ที่ว่าไว้ว่า... “แพ้ทางการเมือง-แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง...ชนะทางการเมือง-ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง” ด้วยเหตุนี้...นักการเมืองที่สามารถ “เอาตัวรอด” สามารถอยู่รอด ปลอดภัย หรือ “อยู่ยาวว์ว์ว์” มากซะยิ่งกว่า “คุณลุงบิ๊กตู่” ของหมู่เฮา มาได้ถึง 12 ปี อย่างเช่น “คุณลุงเนทันยาฮู” เลยอาจต้อง “นอนมาแบบมีพระสวดนำหน้า” ต้อง “ตกม้าตาย” หรืออาจต้องถูก “เปลี่ยนม้ากลางลำธาร” เอาดื้อๆ!!! ด้วยประการละฉะนี้...แล...เทอญญ์ญ์ญ์...