หายหน้า-หายตาไป 2-3 วัน...ก็ด้วยเหตุเพราะความแก่-ความชราอีกแล้วนั่นแหละทั่น แต่คราวนี้คงไม่ได้เกี่ยวกับความเจ็บไข้-ได้ป่วย หรือเพราะการโหมแรงเชียร์บอลยูโร-โคปา อะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพราะได้ฤกษ์-ได้เวลาต้องไปจิ้ม ไปทิ่มไปจึ๊กๆๆ ฉีด “วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า” ตามที่ “หมอพร้อม” ท่านได้นัดหมายเอาไว้นั่นเอง...
หลังจากนั้นเลยต้องเจอกับ “ผลกระทบ” หรือ “ผลข้างเคียง” ที่อาจถือเป็นเรื่องเล็กๆ-น้อยๆ สำหรับคนหนุ่มๆ สาวๆ คือประเภทครั่นเนื้อ-ครั่นตัว มึนหัว-เวียนหัว อ่อนระโหยโรยแรง ฯลฯ แต่สำหรับคนแก่ประเภท “แก่แล้ว-แก่เลย” อย่างอันตัวข้าพเจ้าเองกว่าจะ “ฟื้นตัว” เป็นปกติได้ดังเดิม เลยอาจต้องใช้เวลาอยู่มั่งเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตอุทิศข้อเขียนชิ้นนี้ ให้กับการแสดงออกถึงความเห็นอก เห็นใจ ต่อคนแก่-คนชราด้วยกันเอง นั่นก็คือ “ผู้เฒ่าโจ” ผู้นำรายใหม่ของประเทศคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่ช่วงระหว่างนี้อายุ-อานามน่าจะปาเข้าไปประมาณ 80 ปี ไปแล้วแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์...
คือคงเป็นเพราะความแก่-ความชรานั่นแหละ ไม่ใช่อะไรอื่น ที่ทำให้ประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ท่านต้อง “พืดผิด-พืดถืก” (พูดผิด-พูดถูก) อยู่บ่อยๆ แม้แต่ครั้งล่าสุดที่ต้องไปเผชิญหน้ากับ “สื่อมวลชน” ที่ตัวเองพยายามหลบหลีกมาโดยตลอด ในการแถลงข่าวช่วงการประชุม “G7” เมื่อไม่กี่วันมานี้ แทนที่จะหยิบยกเอาเรื่องประเทศ “ซีเรีย” มาแสดงความตำหนิติติงต่อผู้นำรัสเซีย ไม่ว่าในแง่ใด มุมใด ก็ตามที แต่ปากและลิ้น...มันดันขยับให้กลายสภาพเป็นประเทศ “ลิเบีย” ไปโน่นเลย!!! เรียกว่า...พอๆ กับผู้นำบ้านเราที่เคยแสดงความยินดีต่อการต้อนรับของชาว “จังหวัดหาดใหญ่” หรือชาว “อำเภอขน-อม” (ขนอม) อะไรทำนองนั้น ทั้งๆ ที่ยังสาว ยังแส้ แต่จะด้วยเหตุเพราะ “อุบัติเหตุทางสมอง” หรืออะไรต่อมิอะไรคงต้องไปสรุปกันเอาเองก็แล้วกัน...
อย่างไรก็ตาม...สำหรับ “ผู้เฒ่าโจ” หรือประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ผู้นำประเทศอเมริการายนี้ ไม่เพียงแต่ความแก่-ความชราเท่านั้น ที่ตามหลอก ตามหลอน ตามเกาะกิน บั่นทอนศักยภาพ สมรรถภาพ ในแต่ละด้านลงไปมิใช่น้อย แม้กระทั่งชาวอเมริกันหรือสังคมอเมริกาด้วยกันเอง ก็ดูจะไม่ได้เห็นอก เห็นใจ มากมายสักเท่าไหร่นัก ไม่ได้คิดจะ “อวย” ไม่ได้คิดจะชโลมเลียร์แล้วลงแชล็ค แบบท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” บ้านเราเอาเลยแม้แต่น้อย นี่...ถ้ากันว่าตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ของสำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ที่พาดหัวไว้แบบตรงไป-ตรงมาว่า “ออกทัวร์ไม่กี่วัน...ไบเดน...กลับบ้าน คะแนนนิยมทรุด” ทำนองนั้น คือคะแนนนิยมตามผลสำรวจของโพลแต่ละโพล เห็นว่าลดฮวบๆ ฮาบๆ ลงไปถึง 6 เปอร์เซ็นต์ เหลืออยู่แค่ 48 เปอร์เซ็นต์ หรือเหลือไม่ถึงครึ่ง ทั้งๆ ที่เพิ่งอยู่มาได้แค่ไม่กี่เดือน ไม่ได้ลากยาวว์ว์ว์มาเป็น 7 ปี 8 ปี หรือ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” จนใครต่อใครอดที่จะ “เบื่ออ์อ์อ์” ขึ้นมามิได้...
แม้แต่ “พรรคเดโมแครต” ที่ตัวเองสังกัด...เห็นว่าในแง่ความเชื่อ ความศรัทธา ยังลดฮวบตามไปด้วย จาก 83 เปอร์เซ็นต์เหลือแค่ 59 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยไม่เกี่ยวอะไรกับ “รัฐมนตรีแป้ง” หรือ “เลขาธิการฯ แป้ง” เอาเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้ความมุ่งมาดปรารถนาและต้องการ ที่จะฟื้นฟูบูรณะประเทศอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ เกรียงไกร ในแบบ “Take America Back again” ตามคำขวัญ ตามสโลแกน ที่เคยหาเสียงเอาไว้ก่อนหน้านั้น ด้วยการคิดจะทุ่มเทเงินทองระดับ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6 ล้านล้านดอลลาร์ก็แล้วแต่ สร้างถนน สร้างสะพาน ท่อน้ง ท่อน้ำ สร้างงาน สร้างระบบการศึกษา ระบบสวัสดิการ ไปจนถึงภาวะสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ไปๆ-มาๆ ทำท่าว่าอาจต้อง “แห้วกระป๋อง” อีกจนได้ หรือถ้าว่ากันตามข่าวของสำนักข่าว “ผู้จัดการ” เห็นว่า...ทั้งวุฒิสมาชิกฝ่ายตัวเองและฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน ต่างหันมารวมหัวเตรียมหั่นงบประมาณดังกล่าว ให้เหลือเพียงแค่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ชนิดแทบไม่พอ “ทำยา” ใดๆ ได้เลย...
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้จะแก่จะชรา แถมไม่ได้รับความเห็นอก เห็นใจมากมายสักเท่าไหร่นัก แต่ว่ากันว่า...โดยประสบการณ์การผ่านร้อน ผ่านหนาว โดยเฉพาะในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ชายชราอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” รายนี้ เผลอๆ...อาจมีความเฉียบขาด ความประณีต สุขุม ลุ่มลึก เหนือยิ่งไปกว่า “นายเก่า” อย่างอดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” เอาเลยก็ไม่แน่!!! และด้วยการอ่านหมาก อ่านไพ่ ผ่านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญส่วนตัวของผู้นำรายใหม่แห่งประเทศอเมริการายนี้นี่เอง ที่ทำให้นักวิเคราะห์ หรือนักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศบางราย ดังเช่น คอลัมนิสต์แห่งสำนักข่าว “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” อย่างท่าน “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” (M.K. Bhadrakumar) เป็นต้น ท่านเลยค่อนข้างเชื่อไปในแนวที่ว่า...สุดท้ายแล้ว แนวนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” ไม่ว่าต่อประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซีย ก็ตาม น่าจะออกไปทางไป “แข็งนอก-แต่อ่อนใน” อะไรประมาณนั้น...
ตามที่ท่านได้สาธยายความคิด ความเห็น ไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “US signals flexibility and pragmatism to China” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาแปลและเรียบเรียง ถ่ายทอดไว้เป็นภาษาไทยในชื่อเรื่อง “กลศึกไบเดน ขณะโน้มน้าวพันธมิตรให้ช่วยต่อต้านจีน แต่วอชิงตันกลับหาทางร่วมมือในบางด้านกับปักกิ่ง” ที่เพิ่งตีพิมพ์ เผยแพร่ ไปเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (19 มิ.ย.) นี่เอง ใครสนใจรายละเอียดสามารถ “คลิก” เข้าไปดูได้ทุกเมื่อ โดยคงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า หลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายกรณี ที่อดีตท่านทูตอินตะระเดียรายนี้ หยิบยกเอามาอ้างอิงและชี้แจงเอาไว้ ออกจะมีเหตุมีผล และมีน้ำหนัก มิใช่น้อย...
และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะ “จีน” เท่านั้น...แม้แต่ “รัสเซีย” ที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” เคยแสดงความเห็นพ้องกับชื่อและฉายาในนาม “นักฆ่า” หรือ “ฆาตกร” ของผู้นำรัสเซียอะไรประมาณนั้น แต่สุดท้าย...แม้ว่า “การประชุมสุดยอด 2 ผู้นำ” แบบชนิดตัวต่อตัวของผู้นำรัสเซียและผู้นำอเมริกาที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ จะยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจะเอาไง-มาไงกันต่อไป แต่การที่ทั้งคู่หันมา “เปิดไฟเขียว” ให้กับทูตอเมริกาและทูตรัสเซีย กลับไปประจำที่เดิม หรือให้ “นายจอห์น ซัลลิแวน” (John Sullivan) ทูตอเมริกาประจำกรุงมอสโก กลับไปรับตำแหน่งภายในสัปดาห์นี้ และ “นายอนาโตลี แอนโตนอฟ” (Anatoly Antonov) ทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน ก็กลับมาทำหน้าที่ตั้งแต่ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อันนี้...ต้องถือว่า อย่างน้อยย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่น ความพยายามรอมชอม ประนีประนอม ไม่ได้แข็งเป็นไม้ท่อน ไม่ได้ฮึ่มๆ แฮ่ๆ ใส่กันและกันแต่อย่างใด แม้ว่าการแสดงออกโดยภายนอก อาจยังคงต้อง “ก้าวร้าว” อยู่เช่นเดิม เช่นการออกมา “ขู่” รัสเซียเอาไว้ก่อนล่วงหน้าถึงการ “แซงชั่น” ครั้งใหม่ หรือการเร่งเร้าให้จีนร่วมมือสอบสวนแหล่งที่มาของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว อย่าง “นายเจค ซัลลิแวน” (Jake Sullivan) เป็นต้น...
ดังนั้น...เอาเป็นว่า ถ้าหากแนวนโยบายต่างประเทศของผู้นำอเมริการายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” เกิดเป็นไปดังที่นักวิเคราะห์บางราย อย่างท่าน “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” ได้สรุปเอาไว้แบบถูกต้อง ตรงเผง อันนี้...ก็แทบเรียกได้ว่าประเทศมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา สุดท้ายแล้ว...ย่อมหนีไม่พ้นต้องยอมรับสารภาพ ว่ายากที่จะฝืน ยากที่จะขัดขืนต่อ “ข้อเท็จจริง” ที่ว่า โลกทุกวันนี้...กำลังกลายสภาพไปสู่ “โลกหลายขั้วอำนาจ” (Multipolar World Order) อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ไม่อาจหวนกลับคืนไปสู่ “โลกแบบขั้วอำนาจเดียว” (Unipolar World Order) หรือไม่ใช่โลกที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา จะสามารถดำรงตนเป็นผู้กำหนดสงครามและสันติภาพ (Pax Americana) แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!! และนั่นย่อมถือเป็น “ข่าวดี” หรือข่าวที่ออกไปทาง “เบาๆ-สบายๆ” สำหรับช่วงปิดท้ายสุดสัปดาห์นี้ ด้วยประการละฉะนี้...แล…