โลกดูเหมือนจะลืมสถานการณ์ในพม่าหลังจากกองทัพพม่าได้ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวต่างๆ ไม่มีรายงานข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งกำลังร้อนระอุอย่างหนัก
ประชาชนพม่าและชนกลุ่มน้อยต่างๆ ได้ตัดสินใจลุกฮือต่อสู้กับรัฐบาลพม่าแทบจะทั่วประเทศ ส่อเค้าให้เห็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบในอีกไม่ช้า
รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ หรือ National Unity Government ภายใต้เครือข่ายของนางอองซาน ซูจี ประกาศว่าพร้อมที่จะเริ่มทำศึกกับรัฐบาลของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย เมื่อสถานการณ์พร้อมกว่านี้ นั่นคือวันดี-เดย์ อย่างเป็นทางการ
เท่ากับว่าเป็นวัน “เสียงปืนแตก” ของประชาชนที่จะพร้อมใจลุกขึ้น จับอาวุธเท่าที่มีอยู่ สู้รบเป็นสงครามกลางเมือง ชิงอำนาจรัฐอย่างเต็มที่
พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าตนเองประหลาดใจที่ประชาชนต่อต้านอำนาจอย่างเต็มที่ และยอมรับอีกว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และพื้นที่ต่างๆ ในประเทศได้อย่างเด็ดขาด
ดูตามสภาพแล้วก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะการลุกฮือของประชาชนจับอาวุธต่อสู้ด้วยการซุ่มโจมตีทหารแทบจะทั่วประเทศ เกิดการปะทะกันในพื้นที่ของรัฐฉาน คะฉิ่น ฉิ่น คะยาห์ และกะเหรี่ยง ซึ่งควบคุมพื้นที่รอบนอก
นอกจากข่าวรายงานโดยกลุ่มเครือข่ายประชาชน ยังมีรายงานข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งรวบรวมโดยกลุ่มผู้ต่อต้านต่างๆ ส่งมาให้บริษัทในประเทศไทย ซึ่งมีกิจการและธุรกิจในพม่าให้รับรู้สถานการณ์ ความเป็นไปว่าเลวร้ายอย่างไรบ้าง
มีรายงานการปะทะในพื้นที่สะแกง กะเหรี่ยง และคะฉิ่น กระจายเป็นวงกว้าง รวมทั้งมีการซุ่มโจมตีที่มั่นและหน่วยทหาร ทำให้กลุ่มต่อต้านได้เข้ายึดอาวุธมาใช้
ความสูญเสียเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย มีรายงานว่าทหารได้ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ในการปะทะกับกลุ่มต่อต้าน นอกเหนือจากการตรวจค้นตามชุมชนต่างๆ เพื่อหาตัวผู้ต่อต้าน ในบางหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องอพยพหนีเข้าป่าไปร่วมกับชนเผ่าต่างๆ
ยังมีการลอบวางระเบิดทั้งในบริเวณกรุงย่างกุ้ง รวมทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและพาณิชย์ซึ่งควบคุมโดยกองทัพพม่า สร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจอย่างมาก นอกเหนือจากการหยุดงานประท้วงหลังจากการรัฐประหาร
เวลานี้ดูเหมือนจะมีข้อสรุปเบื้องต้นแล้วว่าสงครามกลางเมือง ซึ่งมีทั้งรูปแบบสงครามกองโจรในเมืองและในป่าเป็นสภาวะที่เลี่ยงไม่ได้ นับแต่ละวันมีกลุ่มผู้ต่อต้าน ซึ่งเป็นนักศึกษาและคนหนุ่มสาวประกอบอาชีพต่างๆ พากันหนีเข้าป่า
ที่ผ่านมามีจำนวนหลายร้อยคน ไปฝึกอาวุธกับชนกลุ่มน้อยซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธ ทำให้มีจำนวนนักรบเพิ่มขึ้นทุกวัน การปะทะกันในหลายพื้นที่มีรายงานความเสียหายด้านยุทโธปกรณ์ของกองทัพพม่า และมีทหารเสียชีวิตในการปะทะแทบทุกครั้ง
ประชาชนที่อยู่ในเมืองยังคงชุมนุมประท้วงต่อเนื่อง แม้จะถูกปราบปราม จับกุมอย่างหนัก เป็นการชุมนุมอย่างสันติ ทหารยังควบคุมด้านสื่อสาร อินเทอร์เน็ต ไม่ให้ประชาชนเข้าถึงข่าวสารข้อมูลต่างๆ สื่อที่ทำงานอยู่ก็ประสบภาวะลำบาก
สถานการณ์ที่เป็นอยู่น่าจะสร้างความหนักใจให้นายพลอาวุโสมิน อ่อง หล่าย แต่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพและความแข็งแกร่งของกองทัพ ซึ่งได้รับผลประโยชน์และการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีเพื่อค้ำฐานอำนาจผู้นำทหาร เป็นธรรมเนียมปฏิบัตินานกว่า 50 ปี
รัฐบาล NUG พยายามหาพรรคพวกเพื่อขยายแนวต่อต้านกับรัฐบาล ล่าสุดได้ประกาศว่าพร้อมที่ยอมรับกลุ่มชนโรฮิงญาเป็นประชากรของพม่า ถ้าได้อำนาจ แต่นั่นขึ้นอยู่กับการพิสูจน์หลักฐานว่าเป็นชนเผ่าดั้งเดิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่ามานาน
นอกจากนั้นยังมีความพยายามรณรงค์ขอเงินและทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ อายัดไว้ ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย และคณะนายทหาร รวมทั้งกิจการเชิงพาณิชย์ที่ควบคุมโดยกองทัพ
รัฐบาล NUG ก็มีการปรับเปลี่ยนตัวในคณะรัฐมนตรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของพรรค NLD เพื่อกระชับโครงสร้างการบริหารเครือข่าย ก่อนที่จะประกาศวันดี-เดย์ สิ่งที่จะตามมาก็คือการระดมทุนเพื่อจัดหาซื้ออาวุธเพื่อทำสงครามกับรัฐบาล
NUG ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่ได้มีความหวังในกลุ่มอาเซียน หรือองค์กรต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับอาเซียน เพราะเห็นว่าไม่มีความตั้งใจแก้ไขสถานการณ์ ถ้าการสู้รบในพม่ากระจายเป็นวงกว้าง ประเทศรอบพม่าย่อมเลี่ยงผลกระทบไม่พ้น
จำนวนผู้ลี้ภัยสงครามและปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรงขึ้น การระบาดของโควิด-19 ยังมีอยู่ทั่วไปในหลายพื้นที่ ล่าสุดในรัฐคะฉิ่นต้องปิดหมู่บ้านเพื่อควบคุมการระบาด ความหวังที่รัฐบาลพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย จะจัดการเรื่องนี้ได้ก็คงยาก
กองทัพพม่ากำลังดิ้นรนหารายได้เพื่อซื้ออาวุธเช่นกัน เหมืองหยกทางตอนเหนือติดกับชายแดนจีนได้เร่งกำลังผลิตเพื่อใช้เป็นทุนในการจัดหาอาวุธ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดผลกระทบอย่างแท้จริง
การขายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบจากทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล ก็ยังเป็นหนทางหนึ่งที่สร้างรายได้ให้รัฐบาล ซึ่งยินยอมให้ทหารจีนเข้ามาอารักขาท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ซึ่งมีความยาวกว่า 800 กม. และเคยถูกลอบก่อวินาศกรรมอีกด้วย
ดูสภาพแล้วพม่ายังมีอนาคตมืดมนตราบใดที่รัฐบาลเผด็จการทหารยังกุมอำนาจ สงครามกลางเมืองจะสร้างความเสียหาย ประเทศอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ