เมืองไทย 360 องศา
พิจารณาตามรูปการณ์แนวโน้มแล้วเชื่อว่า สถานการณ์ในประเทศเมียนมา เริ่มเข้าสู่ความรุนแรงในลักษณะที่เสี่ยงต่อการ “ไร้การควบคุม” มากขึ้นทุกขณะ ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ความรุนแรงดังกล่าวจะพัฒนารูปแบบไปสู่ “สงครามกลางเมือง” ในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมา กับรัฐบาลฝ่ายสนับสนับสนุน นางอองซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่ถูกโค่นอำนาจลงไป หรือระหว่างรัฐบาลทหาร กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่การต่อสู้กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายรัฐ
หากพิจารณาเหตุการณ์หลังจากการรัฐประหารของนายพลอาวุโส มินอ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา บรรยากาศความวุ่นวายไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามมีแต่เพิ่มความรุนแรงตลอดเวลา จากเดิมที่เป็นแค่การประท้วงต่อต้าน แต่ในระยะหลังกลายมาเป็นการ “ก่อความรุนแรง” โดยการลอบวางระเบิด มีเป้าหมายในพื้นที่เศรษฐกิจ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายทหาร รวมไปถึงการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจ มากขึ้นเป็นรายวัน ในลักษณะ “ถี่ยิบ” จนผิดปกติ
ขณะเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา หรือ “พม่า” ที่มีอยู่หลายสิบกลุ่ม และที่มีกองกำลังติดอาวุธเป็นของตัวเอง ก็ฉวยโอกาสโจมตีทหารพม่าหนักมือ จนได้เห็นรายงานข่าวการสู้รบรุนแรงในหลายรัฐ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนรอบบ้าน ทั้งที่ติดกับอินเดีย บังกลาเทศ จีน และไทย
สำหรับชายแดนที่ติดกับประเทศไทยที่มีพรมแดนยาวต่อเนื่องตั้งแต่เหนือจรดใต้ มีความยาวมากกว่าสองพันกิโลเมตร และยังเป็นที่ตั้งของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ หลายกลุ่ม ที่สำคัญ และคุ้นหูคนไทยมานานก็คือ กลุ่มกะเหรี่ยง ทั้งกะเหรี่ยงพุทธ และกะเหรี่ยงคริสต์ รวมไปถึงกลุ่มไทยใหญ่ เป็นต้น ซึ่งตามชายแดนไทยฝั่งตรงข้าม ทั้งที่เชียงราย แม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก ล้วนกำลังเริ่มมีการสู้รบที่รุนแรงมากขึ้น ล่าสุด ได้เกิดการลอบวางระเบิดในพื้นที่สำคัญทางฝั่งพม่าที่ติดกับชายแดนไทยถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสถานการณ์ในพม่ามีแนวโน้มพัฒนาไปสู่ความรุนแรง หรืออาจถึงขั้นไปถึง “สงครามกลางเมือง” มันก็ยิ่งต้องส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยโดยตรงแบบเลี่ยงไม่ได้ เรียกว่า “ต้องรับไปเต็มๆ” แน่นอน
แม้ว่าที่ผ่านมา ฝ่ายไทยพยายามประคองสถานการณ์ในพม่าไม่ให้เลวร้ายลงไปมากนัก พยายามรักษา “ความสมดุล” ระหว่างทุกฝ่ายเอาไว้ให้มากที่สุด ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีรั้วติดกันยาวเหยียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดช่องสำหรับการเจรจาพูดคุย หรือยังเป็น “คนกลาง” ในการไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้ง แต่อย่างไรก็ดี ปัญหาในพม่าที่มี “ความซับซ้อน” และมี “กลุ่มประเทศมหาอำนาจ” เข้ามาเกี่ยวข้อง มีผลประโยชน์มากมาย มันก็ยิ่งทำให้ทุกอย่าง “จบยาก” เพราะมีบางประเทศ บางกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ต้องการให้เกิดความสงบตราบใดที่ผลประโยชน์ของฝ่ายตนยังไม่ลงตัว
โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่าง จีน กับตะวันตก ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ ซึ่งสถานการณ์ในพม่าเวลานี้ถือว่า “น่าเป็นห่วง” อย่างยิ่ง
สำหรับประเทศไทย ตราบใดที่สถานการณ์ความรุนแรงในพม่ายังเพิ่มขึ้นก็ยิ่งสร้างความเดือดร้อน ซึ่งปัจจุบันนี้ไทยก็ยังแบกรับ “ผู้อพยพ” ที่หลบหนีภัยสงครามระหว่างชนกลุ่มน้อยกับทางการพม่า มานานหลายสิบปีแล้ว และหากมีสถานการณ์การสู้รบครั้งใหม่เกิดขึ้นก็ยิ่งต้องรับภาระหนัก
นอกเหนือจากนี้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ก็คือ ยิ่งเกิดปัญหาความวุ่นวายระบบเศรษฐกิจในประเทศนั้นพังทลายมันก็ยิ่งเกิดแรงงานอพยพทะลักเข้าไทยในแบบ “แรงงานเถื่อน” ที่ในช่วงนี้ได้รับรู้ถึงข่าวการ “จับกุมแรงงานต่างด้าว” ตามแนวชายแดน หรือบางครั้งมีการจับกุมได้ถึงในเมืองใหญ่ที่มีการเล็ดลอดเข้ามา
แน่นอนว่า ในสถานการณ์โรคระบาดโควิดระลอกใหม่ ที่ไทยยังไม่อาจควบคุมได้ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส “กลายพันธุ์” ที่มากับแรงงานต่างด้าว ที่กำลังสร้างปัญหาหนักอยู่ในเวลานี้ และแน่นอนว่า ปัญหาแรงงานเถื่อนที่ทะลักเข้ามาในเวลานี้ ส่วนสำคัญย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ทุจริต ขณะที่ชาวพม่าที่กำลังเดือดร้อนต้องหาทางข้ามแดนเข้ามา เพื่อมาสถานที่ปลอดภัยหรือหลบภัย โดยเฉพาะการหางานทำ และในช่วงของการระบาดของโรคที่ในพม่าทำได้ไม่ทั่วถึง และเชื้อไวรัสก็มีโอกาสติดมาด้วย ดังที่เกิดขึ้นจากการตรวจคัดกรองใน “แคมป์คนงาน” และโรงงานหลายแห่งทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดเวลานี้
เอาเป็นว่าตราบใดที่สถานการณ์ในพม่ายิ่งบานปลายกลายเป็นความรุนแรง มันก็ยิ่งส่งผลกระทบมาถึงไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะรับรู้และเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อคราวนี้ยังมีปัญหาในเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ผสมโรงเข้ามาอีกมันก็ยิ่งเพิ่มปัญหา