เปิดฉากสัปดาห์นี้...ลองแวะกลับไปดูความเคลื่อนไหวของคุณพ่ออเมริกาเขาสักหน่อย เพราะหลังๆ มานี้...หรือหลังจากอเมริกาเขาตะลุยฉีด “วัคซีน” ป้องกันโควิด ให้บรรดาอเมริกันชน โดยจะมีชาวไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา แอบบินไป “ไฟเซ่อ(เซอร์)”กับเขาด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ ประเภททั้งฉีด ทั้งแถม อะไรต่อมิอะไรในบางเมือง บางรัฐ จนว่ากันว่าชาวอเมริกันไม่น้อยไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการจิ้ม การทิ่มไปเรียบร้อยแล้ว และทำให้สีสันบรรยากาศของการหวนกลับไปเปิดธุรกิจบริการรอบใหม่ อาจมีส่วนทำให้ผู้นำรายใหม่ อย่างคุณทวด โจ ซึมเซา” ชักออกอาการคึกๆ คักๆ กระเหี้ยนกระหือรือ หรือหนักไปทาง “โจ สเตียรอยด์” ยิ่งเข้าไปทุกที...
อย่างเช่นเมื่อช่วงวันศุกร์ (28 พ.ค.) ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างพบปะกับฝูงชนที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ผู้นำอเมริกันรายนี้ ถึงกับออกมาป่าวประกาศอย่างเป็นงาน เป็นการ ว่าได้เตรียมแผน เตรียมเม็ดเงินงบประมาณ สำหรับการทุ่ม การลุย เพื่อสร้างงาน สร้างการ เพื่อเตรียมพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจของอเมริกา ชนิดหนักซะยิ่งกว่า “เสี่ยสั่งลุย” อย่างคุณพี่จีน มหาอำนาจคู่แข่ง ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือกำลังเตรียมเม็ดเงินเอาไว้ในกระเป๋าไม่น้อยไปกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ มากมายมหาศาลขนาดไหน คงต้องเอาประมาณ 30 บาทไทยไปบวก ไปคูณ ดูเอาเอง แต่เรียกว่า...มากพอที่จะเอาไว้ใช้เป็นงบประมาณสำหรับประเทศไทยทั้งประเทศ นับเป็นร้อยๆ ปีเอาเลยก็ว่าได้...
โดยกะจะเอาไว้ทุ่มทุน ทุ่มเท ทั้งอัด ทั้งฉีด สำหรับการ “ยกเครื่อง” ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานใหม่หมดในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าการสร้างสะพาน ถนนหนทาง ท่าอากาศยาน ท่อน้ำหรือท่ออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ รวมถึงระบบโรงเรียน มหาวิทยาลัย ระบบการศึกษา ระบบอินเทอร์เน็ต ชนิดถ้วนทั่วไปด้วยกันทั้งหมด ไปจนการปรับตัว ปรับสภาพ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ดูดี ดูสวยหรูไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะสำหรับคนจนและคนชั้นกลาง ที่ถูกถือเป็นเป้าหมาย เป็นวัตถุประสงค์ของการทุ่มเท ทุ่มทุน คราวนี้ หรือเพื่อให้ “ประชาธิปไตยอเมริกา” ที่ถูกแปรสภาพไปเป็น “ประชาธิปไตยของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า” มานานแล้ว ไม่ต้องกลายเป็น “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์” มากมายจนเกินไป โดยถือเป็น “การลงทุนเพื่อครอบครัวของเราเอง-ชุมชนของเราเอง และเพื่อประเทศของเราเอง”ตามคำพูด คำจา ที่ “ผู้เฒ่าโจ” ท่านได้เน้นย้ำเอาไว้...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...สิ่งที่ว่านี้ก็ยังอยู่ในระดับแค่ “ราคาคุย”ไปพลางๆ เพราะโอกาสที่จะทำให้เป็นจริง-เป็นจัง ไม่ได้เอาแต่ “สมรักษ์ คำสิงห์” ไปวันๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คืออย่างน้อย...ก็อาจทำให้ประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ต้องเจอกับภาวะขาดดุลงบประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ไปโดยตลอดช่วงทศวรรษหน้า และอาจทำให้ “หนี้สิน”ของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีหนี้มากที่สุดในโลก ชนิดกลับมาเกิดเป็น “สุธี” อีกสักกี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็ยังไม่มีวันชดใช้ได้หมด จะต้องพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ เข้าไปอีก ในระดับไม่น้อยไปกว่า 117 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปจนตลอดถึงปีค.ศ. 2031 โน่นเลย และที่สำคัญคือเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเพิ่มภาษี ขึ้นภาษี โดยเฉพาะพวกคนรวย หรือบรรดาบรรษัทธุรกิจทั้งหลาย อย่างน้อย...ก็จากประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ในช่วงนี้ ขึ้นไปเป็น 28 เปอร์เซ็นต์โดยมิอาจปฏิเสธ อันอาจส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อตามมา ราคาสินค้าแพงขึ้นๆ โดยใช่เหตุ รวมไปถึงภาวะชะงักงันของการประกอบธุรกรรมต่างๆ ฯลฯ...
หรืออย่างที่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แห่งรัฐเคนตั๊กกี้ “นายมิตช์ แมคคอนเนลล์” (Mitch McConnell) ได้โดดออกมาขวางเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือก่อนที่แนวคิดดังกล่าวจะต้องถูกนำเสนอสู่สภาคองเกรสในอีกไม่นานนับจากนี้ ด้วยการสรุปไว้สั้นๆ-ง่ายๆ ประมาณว่า แนวคิดหรือการเพ้อไป-เพ้อมา ของ “ผู้เฒ่าโจ” ในเรื่องนี้ ก็แทบไม่ต่างไปจาก “การถ่วงครอบครัวชาวอเมริกันลงไปในหุบเหวแห่งหนี้สิน การขาดดุลงบประมาณ และการตามมาด้วยภาวะเงินเฟ้อ” นั่นเอง หรือออกจะเป็นเรื่องที่ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ ที่จะผ่านสภาคองเกรสได้ง่ายๆ เพราะเพียงแค่การขึ้นภาษีจาก 21 เปอร์เซ็นต์ไปเป็น 28 เปอร์เซ็นต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกฝ่ายรีพับลิกันรวมทั้งเดโมแครตอีกด้วย ที่ต่างต้องมี “พ่อค้า” หนุนหลังไม่ว่าในทางใด ทางหนึ่ง ถึงจะมีโอกาสเข้ามาเป็นสมาชิกสภาได้ ต่างออกอาการ “ไม่เห็นควรด้วย” กับแนวคิดดังกล่าวไปด้วยกันทั้งนั้น...
ดังนั้น...สิ่งที่ถือเป็น “เรื่องจริง” ไม่ได้ “อิงนิยาย” หรือไม่ได้แค่เพ้อไป-เพ้อมา สำหรับวันนี้ และ ณ วินาทีนี้ จึงคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเม็ดเงินงบประมาณระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์แต่อย่างใดไม่ เพราะสิ่งอันเป็นที่ “จับตา” อย่างชนิดมิอาจกะพริบตาโดยเฉพาะสำหรับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียในระหว่างนี้ ก็น่าจะเป็นเม็ดเงินงบประมาณของ “กระทรวงกลาโหม” อเมริกันนั่นเอง ที่ถูกส่งเข้าสู่สภาคองเกรสเมื่อช่วงวันศุกร์ (28 พ.ค.) ที่ผ่านมา อันแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลงทุนเพื่อ “ครอบครัวของเราเอง-ชุมชนของเราเอง-และประเทศของเราเอง” เอาเลยแม้แต่น้อย แต่เพื่อมุ่งที่จะครอบครองโลกทั้งโลกเอาไว้นั่นแหละเป็นหลัก หรือมุ่งเอาไว้ “เล่นงาน”คู่แข่งอย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียกันโดยเฉพาะ ที่มันเพิ่มพรวดๆพราดๆ ขึ้นมาอีกกว่า 1.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือมากกว่ายุค “ทรัมป์บ้า”ที่บ้าไปคนละแบบ เพราะการเพิ่มงบกลาโหมของสหรัฐฯ ไปเป็น 753,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า หรือมากไปกว่างบกลาโหมของจีนกว่า 4-5 เท่าเป็นอย่างน้อย ถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะยกระดับการเตรียมพร้อมทางทหาร การแข่งขันในอวกาศ การปรับปรุงเทคโนโลยีนิวเคลียร์และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ไปจนการเน้นหนักการจัดวางกำลังไว้ในภูมิภาคแปซิฟิก ฯลฯ ฯลฯ ดังที่สำนักข่าว “รอยเตอร์” ได้ตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (27 พ.ค.) ที่ผ่านมา...
เรียกว่า...เฉพาะงบประมาณที่เอาไว้สนับสนุนและเผยแพร่ข่าวสารในทางร้ายๆ เพื่อสู้กับรัสเซีย-จีน-และอิหร่าน ก็ปาเข้าไปถึง 800 ล้านดอลลาร์ไปแล้วเป็นอย่างน้อย งบสำหรับการปรับสมรรถนะนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกลปาเข้าไปถึง 27,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งการยกระดับขีดความสามารถของขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่เพิ่มขึ้นไปอีก 52 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้เกิด“ผลข้างเคียง” ตามมา แบบที่ทำให้สีสันบรรยากาศของโลก ดูจะน่าเกลียดน่ากลัว ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมองจาก “ปฏิกิริยา”ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ที่แม้จะเคยป่าวประกาศมาโดยตลอดว่าไม่คิดจะ “แข่งขันทางอาวุธ” ใดๆ กับคุณพ่ออเมริกา เพราะแทบแข่งไม่ได้ หรือเทียบกันไม่ได้ แต่จากท่าทีไม่ว่าทางการทหาร การเมือง การทูต เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ฯลฯ ใดๆ ก็แล้วแต่ ทำให้บรรดานักคิด นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญของจีนโดยส่วนใหญ่ ต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าถึงเวลาแล้ว...ที่จีนจะต้องเพิ่มจำนวนขีปนาวุธและหัวรบนิวเคลียร์ในระดับยุทธศาสตร์ เพื่อเอาไว้ถ่วงรั้งความพยามรุกคืบของอเมริกาในการ “เผชิญหน้าทางทหาร” กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย แบบชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ!!!
ระดับหัวหน้ากองบรรณาธิการของสื่อทางการจีน อย่าง “Global Times” “นายหู สีจิ้น” (Hu Xijin) ถึงระบุเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดว่า “Cornerstone of China’s strategic deterrence against the US: more nuclear missiles and warheads.”หรือเน้นย้ำว่าถือเป็นหลักการพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ของจีนเอาเลยก็ว่าได้ ที่จะต้องเร่งหาทางเพิ่มจำนวนจรวดและหัวรบนิวเคลียร์ ไม่ว่า DF-41, JL-2, JL-3 ฯลฯ หรือขีปนาวุธพิสัยไกลระดับข้ามทวีปจากเรือดำน้ำ เอาไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อันเป็นข้อเรียกร้องและการกระตุ้นที่ไม่ได้ต่างไปจากบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” ทางการทหารในประเทศจีนทั้งหลาย ที่เริ่มมองเห็นว่าการเผชิญหน้า หรือการปะทะทางทหารระหว่างจีน-รัสเซีย และอเมริกา...กำลังใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งก็คงไม่ต่างไปจากฝ่ายอเมริกันเช่นกัน ชนิดถึงขั้นที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อจาก “ผู้เฒ่าโจ” ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมฝ่ายปฏิบัติการพิเศษ อย่าง “นายคริสโตเฟอร์ ไมเออร์” (Christopher Maier) ก็ดูจะเห็นไปในแนวนั้น ถึงขั้นได้หลุดปากกับคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ไปเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (27 พ.ค.) ว่า กระทรวงกลาโหมกำลัง “ตัดสินใจครั้งสำคัญ” ที่จะช่วยไต้หวันยกระดับ “สงครามกองโจร” เอาไว้รับมือกับการบุกของจีน ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ นั่นรวมไปถึงขีดความสามารถในการก่อการร้ายตลอดไปจนการลอบสังหาร เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
สรุปเอาเป็นว่า...แม้ว่าการ “แข่งขัน” หรือการเป็น “คู่แข่ง” ระหว่างอเมริกากับจีนและรัสเซีย จะถูกทำให้ “ซอฟต์” ลงด้วยคำพูด คำจา ด้วยการหันไปให้ความสนใจต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีกันในแบบไหน? อย่างไร? ก็ตามที แต่โดย “ข้อเท็จจริง” ทางประวัติศาสตร์ หรือมวลมนุษยชาติ ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันน่าจะเป็นไปตามคำพูด คำเตือน ของอดีตผู้นำแรงงานแห่งพรรคสังคมนิยมอเมริกันเมื่อครั้งอดีต อย่าง “นายยูยีน วิคเตอร์ เด็บซ์” (Eugene Victor Debs) ได้เคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 โน่นเลยว่า... “Sooner or later every war of trade becomes a war of blood.” หรือ... “ไม่เร็ว-ก็ช้า...ที่สงครามการค้าในทุกๆ ครั้ง จะต้องกลายเป็นสงครามเลือด” จนได้...