ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (22 พ.ค.) ว่าจะมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับฉีดสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทหารเกาหลีใต้ 550,000 นายที่ทำงานใกล้ชิดกับกองกำลังอเมริกันในแดนโสม ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือกับผู้นำเกาหลีใต้ในประเด็นอื่นๆ เช่น ปัญหาเกาหลีเหนือและไต้หวัน
ประธานาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งเดินทางไปเยือนทำเนียบขาวได้กล่าวขอบคุณ ไบเดน และชี้ว่าน้ำใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้ง 2 ชาติขยายครอบคลุมไปยังด้านสาธารณสุข “อย่างมีความหมาย”
ผู้นำทั้งสองยังเอ่ยถึงการจับมือเป็นหุ้นส่วนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนป้องความต้องการของทั่วโลก
“เราเชื่อว่าระหว่างช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ไปจนถึงปี 2022 เราจะสามารถผลิตวัคซีนได้เพิ่มขึ้นอีก 1,000 ล้านโดส” ไบเดน ระบุในงานแถลงข่าวร่วม พร้อมทั้งเอ่ยชื่นชมผู้นำเกาหลีใต้ว่ามีเป้าหมายกระจายวัคซีนโควิด-19 ไปยังทุกประเทศทั่วอินโด-แปซิฟิก
ไบเดน เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำเกาหลีใต้เยือนทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (22) ซึ่งถือเป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งที่ 2 ระหว่าง ไบเดน กับผู้นำต่างชาติ หลังจากที่เขาได้สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา
ผู้นำทั้งสองยังประกาศจุดยืนร่วมในการที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี โดย ไบเดน ย้ำว่าตน “ไม่ได้หวังลมๆ แล้งๆ” ว่าเกาหลีเหนือจะยอมละทิ้งคลังแสงนิวเคลียร์โดยง่าย
“เราทั้งสองต่างมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้” ไบเดน กล่าว พร้อมระบุว่าตนและ มุน มีความตั้งใจที่จะใช้ช่องทางการทูตติดต่อกับเกาหลีเหนือ และ “ใช้มาตรการเชิงปฏิบัติเพื่อลดความตึงเครียด”
คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เคยร่วมประชุมซัมมิตกับอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถึง 3 ครั้ง และยังแลกเปลี่ยนจดหมายส่วนตัวถึงกัน ทว่าจนถึงตอนนี้เปียงยางก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ เพียงแต่ระงับการทดสอบเอาไว้เท่านั้น
เกาหลีเหนือไม่มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปมาตั้งแต่ปี 2017 แต่ถึงกระนั้นผู้เชี่ยวชาญก็เชื่อว่าคลังอาวุธของโสมแดงยังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
ไบเดน ระบุว่าเต็มใจที่จะพบกับ คิม จองอึน “ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม” นั่นคือผู้นำ คิม ต้องยอมที่จะเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ และต้องให้ทีมที่ปรึกษาของ ไบเดน ได้พบปะหารือเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่โสมแดงเพื่อเตรียมงานเสียก่อน
“ผมจะไม่ทำในสิ่งที่เคยทำกันมาแล้วในอดีต ผมจะไม่ให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ นั่นคือการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นผู้นำโดยชอบธรรม และจะไม่ปล่อยให้เขาแสร้งทำเป็นจริงจังในสิ่งที่เขาไม่ได้คิดจะจริงจัง” ไบเดน ระบุ
ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ประกาศแต่งตั้ง ซุง คิม (Sung Kim) อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการเกาหลีเหนือ โดย ซุง นั้นเป็นนักการทูตชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี เคยทำหน้าที่เป็นผู้แทนพิเศษฝ่ายเกาหลีเหนือของรัฐบาล บารัค โอบามา มาก่อน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยวางแผนจัดประชุมซิมมิตระหว่าง ทรัมป์ กับ คิมจองอึน ด้วย
ไบเดน ประกาศทบทวนนโยบายที่สหรัฐฯ มีต่อเกาหลีเหนือในภาพรวม แต่ก็ยังไม่ได้แถลงชัดเจนว่านโยบายใหม่จะเป็นไปในทิศทางใด ระบุแต่เพียงว่าไม่ใช่การปฏิเสธความร่วมมือกับเปียงยางอย่างสิ้นเชิงเหมือนยุคโอบามา และก็ไม่ใช่การจัดซัมมิตแบบผิวเผินอย่างที่ ทรัมป์ ทำ
มุน ถือเป็นผู้นำต่างชาติคนที่ 2 ตามหลังจากนายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูงะ แห่งญี่ปุ่นที่เดินทางไปเยือนทำเนียบขาวหลังจากที่ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง โดย ไบเดน ระบุว่าการพูดคุยหารือกับผู้นำทั้งสองคนเป็นไปอย่างอบอุ่น “เฉกเช่นมิตรเก่าแก่”
นอกจากประเด็นเกาหลีเหนือแล้ว ไบเดน และ มุน ยังได้กล่าวถึงกรณีไต้หวันซึ่งกำลังถูกจีนใช้อิทธิพลทางทหารคุกคามหนักขึ้นเรื่อยๆ
“เราเห็นตรงกันว่าสันติภาพและเสถียรภาพภายในช่องแคบไต้หวันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และเราเห็นพ้องที่จะทำงานร่วมกันในเรื่องนี้ โดยคำนึงถึงลักษณะความสัมพันธ์พิเศษระหว่างจีนกับไต้หวัน” ผู้นำเกาหลีใต้กล่าว
ที่มา: CNN, รอยเตอร์