ขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้...เห็นว่ายังคงถล่มกันไม่หยุด สำหรับการโจมตีทิ้งระเบิดของกองทัพ “IDF” แห่งอิสราเอล แม้ย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 เข้าไปแล้ว พื้นที่เล็กๆ ระดับแค่ “แมวดิ้นตาย” อันเป็นแหล่งลี้ภัยแหล่งสุดท้ายของปาเลสไตน์ ในเขตฉนวนกาซา ที่มีจำนวนประชากรตกประมาณ 2 ล้านคนเท่านั้นเอง แต่เมื่อต้องเจอกับการทิ้งระเบิด เจอกับปืนใหญ่ของอิสราเอล ครั้งแล้ว ครั้งเล่า นัดแล้ว นัดเล่า ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่าพันๆ เป้าหมาย จึงหนีไม่พ้นต้องพังพินาศ ฉิบหายวายวอดกันไปเป็นแถบๆ...
ล่าสุด...เห็นว่าตายไปแล้วประมาณ 197 ศพ หรืออาจมากยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนแก่ คนชรา แม้แต่ “หมอ” หรือนายแพทย์ผู้มีหน้าที่เยียวยารักษาใครต่อใครที่เจ็บ ที่ป่วย ดูเหมือนว่าหนีไม่พ้นต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้ว 2 ราย เพราะเจอเข้ากับระเบิดของอิสราเอลเข้าไปจังๆ ยิ่งไปกว่านั้นห้องแล็บ ห้องปฏิบัติการ เพื่อเก็บ เพื่อพัฒนา “วัคซีน” เอาไว้รับมือการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดในช่วงนี้ ก็ยังหนีไม่พ้นต้องเจอกับระเบิดของอิสราเอล ทำลายล้างพังพินาศกันไปเป็นหลังๆ ผู้คนจำนวนนับเป็นหมื่นๆ จากจำนวนแค่ 2 ล้าน ต้องกลายสภาพเป็นผู้ไร้ที่อยู่ ที่อาศัย ภายในแหล่งลี้ภัยแหล่งสุดท้ายของตัวเอง ขาดน้ำดื่ม ขาดยารักษาโรค เจ็บปวด รวดร้าว ทรมานกันไปมิใช่น้อย...
แต่นั่นก็ดูจะไม่ได้ช่วยลดอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ของผู้นำประเทศอิสราเอลอย่างนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ที่ออกมาป่าวประกาศว่าจะยังคงถล่มเขตกาซาต่อไปเรื่อยๆ หรือ “นานเท่าที่จำเป็น” อันเนื่องมาจากการสังหาร พร่าผลาญ ชาวปาเลสไตน์คราวนี้ น่าจะช่วยให้สถานะและเสถียรภาพในทางการเมืองของตัวเอง ออกจะโดดเด่นเป็นสง่า กว่าบรรดานักการเมืองคู่แข่ง ที่พยายามจะจัดตั้งรัฐบาลอิสราเอลขึ้นมาใหม่ให้จงได้ อีกทั้งด้วยเหตุเพราะแรงยุ แรงเชียร์ แรงสนับสนุนจาก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกา ผู้ที่พยายามแสดงออกถึงความรักและหวงแหน “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” ซะเหลือเกิน แต่กลับพร้อมที่จะปกป้อง คุ้มครอง การกระทำใดๆ ก็ตามของอิสราเอล ไม่ว่าจะเหี้ยย์ย์ย์มม์ม์ม์ขนาดไหน ล่วงละเมิด “สิทธิมนุษยชน” ไปถึงขั้นไหน โดยถือเป็น “สิทธิในการป้องกันตนเอง” หรือเป็น “License To Kill” เป็น “ใบอนุญาตในการฆ่า” ที่มีแต่ต้องให้การสนับสนุนชนิดไม่ต่างไปจาก “กฎเหล็ก” หรือ “กฎตายตัว” เอาเลยก็ว่าได้ แม้แต่ความพยายามแสดง “จุดยืน” ร่วมกันของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่อาจผิดแผกแตกต่างไปจากการกระทำของกองทัพอิสราเอลในช่วงนี้ ยังมิวายถูกคุณพ่ออเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ออกโรงคัดค้าน จนแทบทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องอมสากกะเบือไปวันๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ผู้คนในโลก อาจไม่ได้ถึงกับ “ซื่อบื้อ” ไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ตามที่มีโอกาส “คลิก” เข้าไปอ่าน ไปติดตามข่าวสาร รายงาน ความเคลื่อนไหว ของสำนักข่าว “อัลจาซีราห์” ในช่วงนี้ น่าจะได้เห็นการนำเอา “แผนที่โลก” ของโลกทั้งโลก มาใช้เป็นตัวสื่อให้เห็นถึงการลุกฮือ การแสดงออกถึงความไม่พอใจ ความอึดอัด-ขัดข้องใจ ในการกระทำของอิสราเอลต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ จนก่อให้เกิดการจุดชนวน “การประท้วง” ขึ้นในเมืองต่างๆ ทั่วทั้งโลก ไม่ต่ำกว่า 100 เมืองเป็นอย่างน้อย ไล่มาตั้งแต่ในประเทศแอลจีเรีย ตุรกี กรีก นิวซีแลนด์ อิรัก อิหร่าน เลบานอน เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา อเมริกา อิตาลี สวีเดน ยูเออี อินเดีย ปากีสถาน คูเวต ลิเบีย อียิปต์ บราซิล ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ยันไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ฯลฯ ฯลฯ โน่นเลย ที่ต่าง “ไม่เห็นควรด้วย” กับอิสราเอลและคุณพ่ออเมริกาโดยเด็ดขาด!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจมิใช่น้อย เพราะไม่ว่าเหตุการณ์การปะทะ-ขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ ที่อาจต้องถือเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้วก็ว่าได้ มันจะจบลงไปในแบบไหน? อย่างไร? ก็ตามที แต่มันได้นำมาซึ่งบางสิ่ง บางอย่าง อันเป็นสิ่งที่ผู้คนในระดับ “ทั่วทั้งโลก” หรือนับไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยเมืองในแผนที่โลกของ “อัลจาซีราห์” ได้ออกมาแสดงถึง “ปฏิกิริยา” แห่งการปฏิเสธและคัดค้านอย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือแสดงความ “ไม่เห็นควรด้วย” ต่อบทบาท ท่าที และจุดยืน ของพันธมิตรทั้งสอง หรือของทั้งอิสราเอลและคุณพ่ออเมริกา อย่างเอางาน-เอาการ อย่างเป็นระบบและกิจการ...
อันนี้นี่เอง...ที่มันอาจทำให้สิ่งที่มหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างอเมริกา คิดนำไปใช้เป็น “เครื่องมือ” เป็น “อาวุธอันทรงอานุภาพ” ในการต่อสู้และเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” ตามแบบฉบับ หรือมาตรฐาน “ตะวันตก” ชนิดถึงขั้นต้องนำไปปลุกเร้า ปลุกระดม กันในเวทีความมั่นคง “MSC” (Munich Security Conference) โดยผู้นำอเมริการายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” เมื่อไม่นานมานี้ คือถึงขั้น... “เราจะต้องปกป้องมัน(ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก) ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับมัน ต้องปรับปรุงมันขึ้นมาใหม่ และต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า มันคือแบบอย่าง แนวทาง ที่ไม่ใช่แค่วัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่นี่ก็คือสิ่งเดียวที่ดีที่สุด และเป็นจริง-เป็นจังที่สุด ในการรับมือกับปัญหาในอนาคต และโดยความร่วมมือ-ร่วมใจในหมู่ประเทศหุ้นส่วนประชาธิปไตยในลักษณะที่ว่านี้...เราจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน”...
แต่เพียงแค่เจอกับปัญหา “ยิว-ปาเลสไตน์” ในช่วงนี้...สิ่งที่ถือเป็น “เครื่องมือ” หรือเป็น “อาวุธอันทรงอานุภาพ” ของคุณพ่ออเมริกา ก็น่าจะมีแต่ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือกลายเป็นสิ่ง “โลกทั้งโลก” ได้แสดงออกถึงการปฏิเสธและคัดค้าน ไม่น้อยไปกว่า 100 เมือง ตั้งแต่ลอนดอน-เคปทาวน์-ไปจนถึงโอ๊คแลนด์ เอาเลยก็ว่าได้ หรือทำให้สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน” ตามแบบตะวันตก เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศ เอามากๆ หรือเผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่าการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวซินเกียง” ในประเทศประชาธิปไตยรวมศูนย์อย่างเป็นประเทศจีน หรือประเทศประชาธิปไตยมาเฟีย อย่างรัสเซียที่ผู้นำถูกกล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” เพียงเพราะกรณีลอบวางยาพิษสปาย-สายลับฝ่ายตรงกันข้าม เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง ไม่ได้ถึงกับต้อง “ฆ่า” กันเป็นร้อยๆ แถมยังเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกซะด้วย...
คือด้วยเหตุที่การไหลมา-ไหลไปของข้อมูล ข่าวสาร ในช่วงนี้...มันคงจะไปปิด ไปบัง กันไม่ได้ง่ายๆ แม้ว่าสื่อกระแสหลักในตะวันตก หรือกระทั่งสื่อฯ โซเชียล มีเดีย พยายามปกปิด มิดเม้มกันในระดับไหนก็ตาม แต่ด้วยความพยายามของอิสราเอลในการขับไล่ไสส่ง บรรดาชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ ณ พื้นที่ฟากตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม อย่างเอาเป็น-เอาตาย หลังจากที่เคยขับไล่โคตรเหง้าบรรพบุรุษของกลุ่มชนเหล่านี้ จนไม่มีประเทศเหลืออยู่มาโดยตลอด เพียงเพื่อครอบครอง “เมืองหลวง” ของชาวอิสราเอลให้ได้แบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด อันนำไปสู่การประท้วงและการไล่ทุบ ไล่กระทืบ ชาวปาเลสไตน์รวมทั้งผู้แสวงบุญในเดือน “รอมฏอน” ที่มัสยิด “อัล-อักซอ” ชนิดบาดเจ็บกันไปเป็นร้อยๆ จนกองกำลังของชาวปาเลสไตน์อย่างขบวนการ “ฮามาส” มิอาจนิ่งเฉยอยู่ต่อไปได้ ต้องยิงจรวดส่งคำเตือนไปยังอิสราเอลประมาณ 2 ลูก เพื่อให้ถอนกำลังทหารจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าว แต่เมื่อถึงกำหนดเส้นตายอิสราเอลยังไม่คิดจะถอนกำลังใดๆ ออกไปเลย การยิงจรวดลูกที่ 3 ไปยันถึงลูกที่ 7 จึงต้องตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และนั่นเอง...ที่นำไปสู่การ “ดวลจรวด-ดวลระเบิด” นับเป็นร้อยๆ พันๆ ไปจนการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในฉนวนกาซาแบบเหี้ยมโหดอำมหิต ชนิดม.ม้าวิ่งไล่แทบไม่ทัน...
ดังนั้น...การที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ที่หวังจะใช้ “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” ตามมาตรฐานตะวันตก เพื่อเล่นงานและเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่งให้จงได้ ดันหันไป “ถือหาง” ผู้ที่โลกทั้งโลกลุกฮือขึ้นปฏิเสธและคัดค้านอย่างเป็นงาน-เป็นการ สิ่งเหล่านี้...จึงไม่ต่างอะไรไปจากการไม่คิดจะฟัง “คำเตือน” ที่อดีตนักคิดชาวอเมริกันเชื้อสายยิวด้วยกันเอง คือ “นายซามูเอล ฮันติงตัน” (Samuel Huntington) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Clash of Civilization and The Remaking of World Order” ได้เคยส่งเสียงร้องเอาไว้ก่อนตาย ประมาณว่า... “เราทั้งหลาย (อารยธรรมตะวันตก) ต้องพยายามไตร่ตรองอย่างสุขุมรอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ต่อเหตุปัจจัยเหล่านี้ (การปะทะกับอารยธรรมอิสลามที่มีจีนเป็นพันธมิตร) เราต้องใคร่ครวญ พินิจพิเคราะห์ ว่าเราต้องการที่จะควบคุมโลกอิสลามทั้งมวลเอาไว้หรือไม่ เพราะการสนับสนุนและช่วยเหลือต่อนโยบายการขยายตัวของประเทศอิสราเอลนั้น...อาจทำให้เราต้องกระโดดเข้าไปหลุมพรางแห่งการเผชิญหน้า กับผู้คนจำนวนนับล้านๆ หรือ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรโลกเลยหรือเปล่า...” พูดง่ายๆ ว่าไม่ว่าจะเป็นความเป็นประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน ที่เคยทำให้คิดๆ ว่า “เราจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน” สุดท้าย...อาจถึงขั้นต้อง “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” หรือ “แพ้...กับ...แพ้” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...