มาวันนี้...คงต้องแวะกลับไปดูแถวๆ ตะวันออกกลาง แถวประเทศอิสราเอลกันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะช่วงวัน-สองวันมานี้ ได้เกิดรายการ “ดวลจรวด-ดวลระเบิด” ชนิดระเบิดเถิดเทิง หรือระดับฉิบหาย-วายวอดกันไปพอสมควร ระหว่างลูกหลานชาวยิวแห่งกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน กับบรรดาชนพื้นเมืองอย่างชาวปาเลสไตน์ โดยจะต้องสาดมือ สาดตีน สาดระเบิด สาดบ้องข้าวหลามยักษ์ ใส่กันและกันไปอีกถึงในระดับไหน ถึงขั้นลุกลามบานปลาย กลายเป็น “สงครามใหญ่” กันเลยหรือไม่? ประการใด? ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดๆ...
คือมันคงเริ่มมาจากบรรดาความกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดาลูกหลานชาวยิวอีกนั่นแหละเป็นสำคัญ...หรือหลังจากที่ได้รับแรงยุ แรงเชียร์ แรงสนับสนุน จาก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกา มาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” โน่นเลย ในการรับรองให้ “กรุงเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์” ที่เคยถือเป็นศูนย์กลางของศาสนาหลักๆ ถึง 3 ศาสนาด้วยกัน (คริสต์-อิสลาม-ยูดาย) จนบรรดาประชาคมโลกแทบทั้งโลก ต่างหวังอยากให้เป็น “พื้นที่เป็นกลาง” เพื่อนำมาซึ่งการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ของทุกๆ ฝ่าย หรือทุกๆ ศาสนา ต้องกลายสภาพมาเป็น “เมืองหลวงของอิสราเอล” โดยพร้อมที่จะย้ายสถานทูตอเมริกาจากกรุงเทลอาวีฟ มาอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างเป็นทางการจนตราบทุกวันนี้ และแม้กระทั่งในยุค “ผู้เฒ่าโจ” ผู้ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนซะเหลือเกิน แต่ไม่เพียงไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านนโยบายดังกล่าว ยังพร้อมให้การสนับสนุนแบบสุดลิ่มทิ่มกระดาน ผ่านงบประมาณ ผ่านความเห็นชอบ โดยเฉพาะจากรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ที่ต่างก็เป็น “ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว” ไปด้วยกันทั้งคู่...
ด้วยแรงยุ แรงเชียร์ แรงกระตุ้นในทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดา “ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิว” จำนวนมหาศาล เลยคิดจะ “ขับไล่” บรรดาชนพื้นเมืองท้องถิ่น หรือชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็มไปซะให้พ้นๆ ถึงขั้นไปเคาะประตูบ้าน ออกปากไล่กันดื้อๆ เอาเลยก็ยังมี ส่งผลให้บรรดาชาวปาเลสไตน์ที่เคยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่โคตรเหง้าเหล่าตระกูลชาวอิสราเอลยุคใหม่ ยังไม่มีโอกาสได้ตั้งประเทศขึ้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือยังไม่สามารถทำให้บรรดาชาวปาเลสไตน์ต้องกลายเป็น “ผู้ลี้ภัย” ภายในดินแดนตัวเองมาก่อนหน้านี้ เลยต้องเกิดความอึดอัดคับแค้นใจเป็นธรรมดา จึงเกิดการรวมหัว รวมตัว แสดงออกถึงความไม่พอใจดังกล่าว ด้วยการไปปักหลักชุมนุมอยู่แถวๆ หน้ามัสยิด “อัล-อักซอ” (Al-Aqsa) ศาสนสถานสำคัญอันดับ 3 ของชาวมุสลิมที่ตั้งอยู่ ณ “โดมแห่งศิลา” (Dome of the Rock) บน “ภูเขาวิหาร” (Temple Mount) ช่วงระหว่างที่บรรดาชาวมุสลิมจากทั่วโลก เดินทางมาร่วมประกอบพิธีภาวนาเนื่องในวัน “รอมฎอน” นับจำนวนหมื่นๆ คน...
และก็เผอิญในช่วงจังหวะที่ว่านี้นี่แหละ...บรรดาลูกหลานชาวยิวเขาดันเกิดแรงกระตุ้น เกิดแรงบันดาลใจ คิดจัดพิธีรำลึกถึงวันสำคัญที่กองทัพชาวยิวเคยบุกยึดกรุงเยรูซาเล็มได้ทั้งแผงเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1967 หรือที่เรียกๆ กันว่า “Jerusalem Day” บรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวจำนวนถึง 35,000 คน ที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง โดยเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจอิสราเอล จึงบุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับบรรดาชาวปาเลสไตน์ ชาวมุสลิม ที่กำลังประกอบพิธีอยู่ ณ สุเหร่า “อัล-อักซอ” แล้วประกาศเรียกร้องให้ “สลายตัว” เพื่อไม่ให้ต้องเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ต่อไปอีก จากนั้น...ก็เลยเกิดการปะทะ การไล่ทุบ ไล่ตี ไล่ถีบ ไล่กระทืบ เกิดการยิงทั้งกระสุนจริง กระสุนยาง โดยหน่วยแม่นปืนของอิสราเอล ไปจนถึงการใช้แก๊สน้ำตา แก๊สพริกไทย ฉีดใส่บรรดาผู้ร่วมชุมนุมอยู่ในพื้นที่โดยไม่จำเป็นต้องมีคำ “ขอโทษ” แบบบ้านเราเอาเลยแม้แต่น้อย ชนิดเลือดตกยางออก เกิดการบาดเจ็บของชาวปาเลสไตน์ไปร่วมๆ 300 คน ระดับสาหัสสากรรจ์ไม่น้อยไปกว่า 153 คน...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้บรรดา “นักรบปาเลสไตน์” อย่างพวก “ขบวนการฮามาส” ในเขตฉนวนกาซา เขาเลยมิอาจอยู่เฉยๆ หรือมิอาจเอามือซุกหีบอีกต่อไปได้ บ้องข้าวหลามยักษ์ประมาณ 2 ลูกของพวกฮามาส จึงถูกยิงถล่มเข้าใส่พื้นที่บางส่วนของอิสราเอล พร้อม “คำขาด” ให้บรรดาเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจของอิสราเอลถอนตัวออกจากมัสยิด “อัล-อักซอ” ภายในช่วง 6 โมงเย็นของวันจันทร์ที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ครั้นเมื่อเลยกำหนด....ทหาร-ตำรวจอิสราเอลยังไม่คิดจะทำตามข้อเสนอ บ้องข้าวหลามยักษ์อย่างน้อยอีกประมาณ 7 ลูก 7 บ้อง จึงถูกสาดเข้าใส่บรรดาเมืองต่างๆ ชนิดระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เรียกว่า “Iron Dome” ของอิสราเอลรับมือแทบไม่ทัน คือสามารถสกัดกั้นได้เพียงลูกเดียวเท่านั้นเอง บรรดาลูกหลานชาวยิวต้องหลบไปหดหัว ซ่อนตัวอยู่ในหลุมหลบภัยกันจ้าละหวั่น แม้แต่บรรดาสมาชิกรัฐสภาที่กำลังประชุมเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันอย่างเมามันซ์ซ์ซ์ ถึงขั้นต้องเลิกประชุม เลิกแผนงานต่างๆ ไปจนแม้แต่ “แผนการฝึกทางทหาร” ที่เรียกชื่อเลียนแบบหนังดังฮอลลีวูดเมื่อหลายสิบปีก่อน คือแผน “Chariots of Fire” ก็ยังต้องถูกเลื่อน ถูกยกเลิก โดยไม่มีกำหนดซะอีกต่างหาก...
และก็ด้วยสีสันบรรยากาศ ด้วยฉากสถานการณ์เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีอิสราเอลปัจจุบันอย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่กำลังอยู่ในภาวะจนมุม จนตรอก ไม่อาจ “จัดตั้งรัฐบาล” ที่มั่นคงและเป็นเอกภาพขึ้นมาได้ แม้จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4 ไปแล้วก็ตาม จนพ้นวาระ พ้นเส้นตาย ที่ประธานาธิบดีกำหนดมาแล้วหลายต่อหลายชั่วโมง เลยกลายสภาพมาเป็น “ศูนย์กลาง” แห่งความร่วมมือ-ร่วมไม้ของบรรดา “นักการเมือง” ชาวยิวทั้งหลาย อย่างมิอาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็น “นายBezalel Smotrich” แห่งพรรค “Religious Zionism” “นายYesh Atid” แห่งพรรค “Yair Lapid” ไปจนถึง “นายAvigdor Liberman” แห่งพรรค “Yisrael Beyteinu” ฯลฯ ต่างต้องออกมายุ ออกมาเชียร์ ให้ “นายเนทันยาฮู” เร่งหาทาง “เด็ดหัว” พวกฮามาส แบบชนิด “ไม่ว่า...มันจะโผล่หัวขึ้นมาเมื่อไหร่ และตอนไหน” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
และนั่นเอง...ที่ทำให้เครื่องบินอิสราเอล เลยกรูออกไปโจมตีทิ้งระเบิดใส่พื้นที่เล็กๆ ขนาดแมวดิ้นตายในเขตฉนวนกาซา จำนวนถึง 300 เป้าหมาย พลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ชาวปาเลสไตน์ เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปโดยทันทีไม่น้อยกว่า 20 กว่าราย บาดเจ็บสาหัสอีกร่วมร้อย ในจำนวนนี้เป็น “เด็ก” ผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่ต่ำกว่า 9 คน...ด้วยการกระทำเช่นนี้เลยส่งผลให้พวกฮามาสหนีไม่พ้นต้องงัดบ้องข้าวหลามยักษ์อีกจำนวนประมาณ 200 ลูก สาดกลับไปยังดินแดนอิสราเอล โดยจะส่งผลแบบไหน ประการใด ยังมิอาจทราบชัด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ย่อมทำให้สิ่งที่เรียกๆ กันว่า “สันติภาพ” หายเกลี้ยง!!! จากพื้นที่ดังกล่าว อย่างชนิดไปไม่กลับ-หลับไม่ตื้น-ฟื้นไม่มี เอาเลยก็ว่าได้...
ภายใต้บรรยากาศที่ต้องระเบิดเถิดเทิงขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้...แน่ล่ะว่า “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกาที่รักและหวงแหนประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชนซะเหลือเกิน ก็ได้เวลาหันมา “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) โดยไม่คิดพูดจา ว่ากล่าวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ด้วยเหตุเพราะ “แผนสันติภาพ” หรือด้วย “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุค “ทรัมป์บ้า” โดยสนับสนุนให้ยกกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลนั่นเอง ที่ถือเป็นต้นเหตุ สาเหตุ ของการไล่ยิง ไล่ฆ่า ไล่ถีบ ไล่กระทืบ กันในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ ณ ขณะนี้ และแนวโน้มที่คงจะต้อง “ฆ่า...กับ...ฆ่า” กันอีกต่อไปอย่างไม่เป็นที่สิ้นสุด เหมือนอย่างที่โคตรเหง้า บรรพบุรุษชาวยิว อย่าง “โมรเดคัย” (Mordecai) บิดาบุญธรรมของ “นางเอสเธอร์” (Esther) เคยไล่ฆ่าชนพื้นเมืองที่ต่อต้านการสร้าง “วิหารแห่งพระเจ้า” ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ครั้งพระเยซูยังไม่ทรงถือกำเนิด ระดับถือเป็นการฆ่าชนิด “ล้างเผ่าพันธุ์” เอาเลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังฆ่าไม่หมด และยังคงต้องฆ่ากันอีกต่อไปแม้จนทุกวันนี้ จึงกลายเป็นสิ่งซึ่งมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ตราบใดที่ประเทศอิสราเอลยังไม่คิด “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับประเทศอื่นๆ ยังมุ่งที่จะสร้างและรื้อฟื้นเพื่อให้ “The Greater Israel” หรือ “อิสราเอลอันยิ่งใหญ่” กลับคืนมาสู่ยุคปัจจุบันให้จงได้!!!