“ใส่” กันมาประมาณ 7 วัน หรือครบรอบสัปดาห์เข้าไปแล้ว สำหรับการ “ดวลจรวด-ดวลระเบิด” ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ นอกจากบ้านเมือง ตึกราม อาคารพังพินาศเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย กระทั่งที่ตั้งสำนักข่าวฝรั่งอย่าง “เอพี” หรือสำนักข่าวอาหรับอย่าง “อัลจาซีรา” ในฉนวนกาซาก็พลอย “ซวย” ไปด้วย และเล่นเอาบรรดาชาวปาเลสไตน์ถึงกับต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วไม่น้อยไปกว่า 149 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถึง 41 ราย ส่วนชาวยิวในอิสราเอล เห็นว่าตายไป 10 เป็นเด็กเล็กๆ ประมาณ 2 รายด้วยกัน...
และยังไงๆ...ก็คงต้อง “ฆ่า” กันไปอีกนานนั่นแหละทั่น!!! ไม่ว่าแนวโน้มของความรุนแรงจะยกระดับ หรือลดระดับกันไปในลักษณะไหนก็ตาม เพราะการสังหาร พร่าผลาญใครก็ตามที่ไม่ได้มีเชื้อชาติ สัญชาติเดียวกันกับตัวเอง หรือไม่ใช่ “ชาวยิว” ของแท้และดั้งเดิม ในพื้นที่ดินแดนหรือในอาณาบริเวณดังกล่าว คงต้องยอมรับว่า...มันมีมานับเป็นพันๆ ปี หรือนับแต่ “พระเยซูคริสต์” ยังทรงไม่ได้ถือกำเนิดเอาเลยก็ว่าได้ ชนิดถึงกับถือเป็น “เทศกาล” เป็นวันสำคัญ ที่ต้องหยิบมารำลึกนึกถึง ในประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา ของบรรดาชาวอิสราเอล จนตราบเท่าทุกวันนี้ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
นั่นก็คือ “เทศกาลปูริม” (Purim) อันมีที่มา-ที่ไป...ตั้งแต่ยุคที่บรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน ยังต้องตกเป็น “เชลย” ของกษัตริย์อิหร่าน หรือกษัตริย์เปอร์เซีย ไม่เหลือประเทศ ไม่เหลืออาณาจักรใดๆ ของตัวเองอยู่ในแผนที่โลก แผนที่ประวัติศาสตร์เอาเลยด้วยซ้ำ ต้องสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน มาตั้งแต่สมัยกษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลน “เนบูคัดเนสซาร์” กวาดล้างทำลายอาณาจักรอิสราเอลซะเกลี้ยงไปเป็นแผงๆ แล้วกวาดต้อนบรรดาชาวอิสราเอลมาเป็นเชลย จนกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงสมัยกษัตริย์เปอร์เซีย อย่างกษัตริย์ “อาหสุเอรัส” ตามชื่อเสียง เรียงนาม ซึ่งถูกบันทึกไว้ใน “พระคัมภีร์ไบเบิล” ภาคพันธสัญญาเก่านั่นเอง...
ถ้าย้อนกลับไปถึงช่วงจังหวะนั้น...การฆ่าใครก็ตาม เพื่อนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ของชาวยิว แม้กระทั่งความยิ่งใหญ่ในระดับของผู้ที่เป็นเพียงแค่ “เชลย” ก็ยังกลายเป็นเรื่องที่ถือเป็นที่น่ายกย่อง สรรเสริญ เป็นอย่างยิ่ง ดังข้อความ รายละเอียด ที่ถูกสาธยายไว้ใน “พระคัมภีร์ไบเบิล” ประมาณว่า อันเนื่องมาจากกษัตริย์เปอร์เซียรายที่ว่านี้ ดันไปทะเลาะกับ “เมีย” หรือพระราชินีผู้มีนามกรว่า “พระนางวัชที” ในเรื่องที่ไม่ถึงกับน่าจะเป็นเรื่องมากมายสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้กษัตริย์พระองค์นี้ เกิดความปรารถนาและต้องการ หรือทรงอยากที่จะหา “เมียใหม่” ก็เลยประกาศให้ใครที่มีลูกสาวสวยๆ ส่งลูกสาวในแต่ละรายเข้าประกวด จึงกลายเป็นจังหวะและโอกาส ให้ชาวยิวรายหนึ่งผู้มีชื่อว่า “โมรเดคัย” ส่งลูกสาวบุญธรรม หรือลูกของลุง ผู้มีชื่อว่านาง “เอสเธอร์” เข้าไปเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ประกวดทั้งหลาย จนสามารถยกระดับตัวเองขึ้นเป็น “พระราชินี” แทนที่ “พระนางวัชที” และทำให้เชลยชาวยิว อย่าง “โมรเดคัย” ที่ไม่เคยมีบทบาทอำนาจใดๆ มาก่อนเลย สามารถยกระดับตัวเองกลายเป็นใหญ่ในพระราชสำนักของกษัตริย์ “อาหสุเอรัส” ไปด้วยประการละฉะนี้...
และด้วยความขัดแย้งภายในราชสำนัก ระหว่างข้าราชบริพารรายอื่นที่ไม่ใช่ชาวยิว อย่างผู้ที่มีชื่อว่า “ฮามาน” ชาว “อากัก” ที่คงไม่ต่างอะไรไปจากชาวปาเลสไตน์ในทุกวันนี้นั่นแหละ รวมทั้งความถูกเนื้อ ต้องใจ ของกษัตริย์เปอร์เซียที่มีต่อพระราชินี “เอสเธอร์” ส่งผลให้ชาวยิวอย่าง “โมรเดคัย” ได้รับความไว้วางใจ ถึงขั้นได้รับพระบรมราชานุญาต ให้มี “สิทธิป้องกันตนเอง” ในการทำร้าย ทำลาย ใครก็ตาม เหมือนอย่างที่คุณพ่ออเมริกาในทุกวันนี้ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนประเทศอิสราเอลในทุกๆกรณี ไม่ว่าคิดจะฆ่าใคร ทำร้ายใคร ล่วงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ ฯลฯ ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แต่ถือเป็น “กฎเหล็ก” หรือ “กฎตายตัว” ที่ต้องสนับสนุนอิสราเอลเอาไว้ก่อน แบบที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “พล.อ.ลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) ได้ออกมาพูดเอาไว้เมื่อวัน-สองวันนี้นั่นเอง...
หรือทำให้ข้อความใน “พระคัมภีร์ไบเบิล” ถึงกับระบุไว้ว่า... “ตามจดหมายเหล่านี้ พระราชา (กษัตริย์อาหสุเอรัส) ทรงอนุญาตให้พวกยิวผู้อยู่ในทุกมณฑลชุมนุมกัน ป้องกันชีวิตของตน ด้วยการทำลาย สังหาร และล้างผลาญกำลังพลใดๆ ของประชาชนและมณฑลใดๆ (ที่ไม่ใช่ชาวยิว) ซึ่งอาจมาทำร้ายทั้งเด็กและผู้หญิง และปล้นเอาข้าวของของเขา...” และนั่นเองที่ทำให้ข้อความต่อมาใน “พระคัมภีร์” จึงระบุเอาไว้ว่า... “ฝ่ายพวกยิวซึ่งอยู่ในมณฑลของพระราชา (เปอร์เซีย) ก็ชุมนุมกันป้องกันชีวิต และเพื่อให้พ้นศัตรูของเขา เขาจึงได้ฆ่าผู้ที่เขาเกลียดชังไปเป็นจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันคน...เหตุนี้เกิดขึ้นในวันที่สิบสามเดือนอาดาร์ และในวันที่สิบสี่เขาจึงหยุดพัก และกระทำให้วันนั้นเป็นวันกินเลี้ยงแสดงความยินดี ถือเป็นวันรื่นเริงและวันที่เขาส่งของขวัญไปให้แก่กันและกัน...” หรือกลายมาเป็น “วันเทศกาลปูริม” ไปด้วยประการละฉะนี้...แล...
คือต้องเรียกว่า... “สิทธิป้องกันตัวเอง” ของชาวยิวในลักษณะเช่นนี้ ออกจะเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดอำมหิตมาตั้งแต่แรก เพราะถึงขนาดพร้อมที่จะ “ฆ่า” ใครต่อใคร ชนิดรวดเดียว 75,000 คน พอๆ กับการ “สังหารหมู่” ยุค “ฮิตเลอร์” เอาเลยก็ว่าได้ แถมยังถือเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่ารื่นเริงบันเทิงใจซะอีกด้วยต่างหาก กรณีการ “สังหารหมู่” ที่เกิดขึ้นมาหลังจากนั้นอีกนับเป็นพันๆ ปี ไม่ว่า “การสังหารหมู่ที่เดียร์ ยัสซิน” (Deir Yassin Massacre) ช่วงปี ค.ศ. 1948 หรือ “การสังหารหมู่ที่ซาบราและชาทิลา” (Sabra and Shatila Massacre) ช่วงปี ค.ศ. 1982 ต่อบรรดาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ที่ยกตัวอย่างให้เห็นไปเมื่อวันวานที่ผ่านมา จึงถือเป็นเรื่อง “ปกติ-ธรรมดา” หรือกระทั่งเป็นเรื่อง “น่ารื่นเริง-ยินดี” ในแง่วัฒนธรรม ประเพณี ของบรรดาชาวยิวเอาเลยด้วยซ้ำ!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้การ “ฆ่า” บรรดาชาวปาเลสไตน์ในแถบฉนวนกาซาช่วงระหว่างนี้ ต้องถือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือ “หีดหุ้ย” เป็นอย่างยิ่ง เพราะแค่ตายไปประมาณร้อยกว่าๆ เท่านั้นเอง ยังไม่ถึงกับเป็นหมื่นๆ หรือถึงระดับ 75,000 คนอย่างเมื่อยุคอดีต กระบวนการขับไล่ กดดัน ผลักดัน ให้บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ต้องออกไปจากพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็น “เมืองหลวงของอิสราเอล” แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ตามการรับรองและสนับสนุนจากคุณพ่ออเมริกา จึงคงต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชนิดอาจถึงขั้นต้องย้าย “มัสยิดอัล-อักซอ” (Al-Aqsa) หรือ “โดมแห่งศิลา” (Dome of The Rock) ศาสนสถานสำคัญอันดับ 3 ของชาวมุสลิม ไปสร้างใหม่ไว้ที่ซาอุดีอาระเบีย ตามข่าวล่า-มาเรือ หรือตามคำร่ำลือก่อนหน้านั้น ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ไม่มากก็น้อย...
ปัญหาขณะนี้...จึงอยู่ที่ว่า บรรดาชาวอาหรับ หรือบรรดาชาวโลกมุสลิมทั้งหลายจะมี “ปฏิกิริยา” แบบไหน? อย่างไร? ต่อความพยายามที่จะสร้างและฟื้นฟู ประเทศอิสราเอลให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในระดับ “The Greater Israel” กันอีกครั้ง โดยเฉพาะในเมื่อมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าในยุค “ทรัมป์บ้า” หรือยุค “ผู้เฒ่าโจ” ได้แสดงท่าทีให้เห็นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ยังไงๆ...คงต้องยืนเคียงข้าง เคียงบ่าเคียงไหล่ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลเอาไว้ก่อน หรือถือเป็น “กฎเหล็ก-กฎตายตัว” เอาเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะแสดงให้เห็นถึงการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” กันในระดับร้ายกาจ ร้ายแรง ยิ่งกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนในดินแดนซินเกียงของประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนก็ตาม และโดย “คำตอบ” ของบรรดาชาวอาหรับ หรือชาวโลกมุสลิมทั้งหลายในเรื่องนี้นี่แหละ ที่จะเป็นตัวกำหนดถึงการปะทะขัดแย้งกันในระดับโลก ระดับ “สงครามโลก” หรือระดับที่อดีตนักคิดชาวอเมริกันเชื้อสายยิว อย่าง “นายซามูเอล ฮันติงตัน” (Samuel Huntington) เรียกขานเอาไว้ในนาม “การปะทะทางอารยธรรม” (The Clash of Civilization) นั่นเอง...