ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่หนัก-ไม่หนัก เบา-ไม่เบา คงต้องไปชั่งน้ำหนักกันเอาเองก็แล้วกัน แต่ถือเป็นเรื่อง “ไม่แปลก” สำหรับสื่อฯ อเมริกัน อย่าง “The Wall Street Journal” ที่จะถือฤกษ์งามยามดี ช่วงที่ใกล้จะมีการเปิดประชุมขององค์การอนามัยโลก (WHO) อีกแค่ไม่กี่วันนับจากนี้ หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ ถึงกับพยายาม “เจาะเวลาหาอดีต” ย้อนกลับไปสร้างเรื่อง สร้างข่าว ไม่ว่าจะออกไปทางเฟกนิวส์ หรือฟักนิวส์ ก็แล้วแต่...
ด้วยการเปิดเผยเป็นรายงานข่าว “เอ็กซ์คลูซีฟ” ว่าด้วยเรื่องราวของนักวิจัยแห่งสถาบันไวรัส “China’s Wuhan Institute of Virology” ของจีน ณ เมืองอู่ฮั่น ถึง 3 รายด้วยกัน ถูกส่งตัวไปรักษาพยาบาล ด้วยอาการป่วยคล้ายกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ค.ศ. 2019) หรือก่อนหน้าที่ทางการจีนจะออกประกาศข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ตามมาอีกที หรือพูดง่ายๆ ว่า...หนักไปทางข่าวคราวที่มุ่งกล่าวหา กล่าวร้าย ใส่ร้ายป้ายสี ประเทศจีนกันโดยเฉพาะ ว่าเป็น “ตัวการสำคัญ” ในการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าด้วยความประมาทเลินเล่อ หรือความจงใจใดๆ ก็ตามที โดยไม่ว่าใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อ จริง-ไม่จริง แต่ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การแข่งขัน หรือต่อต้านประเทศจีน ที่กำลังกลายเป็น “กฎหมาย” ในประเทศอเมริกาอีกไม่นานนับจากนี้...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยต้องถือเป็นเรื่อง “ไม่แปลก” เพราะอย่างที่ทราบๆ กันไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน (8 เม.ย. 2021) ที่ผ่านมา ทั้งประธานคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ พรรคเดโมแครตแห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ อย่าง “นายโรเบิร์ต เมเนนเดซ” (Robert Menendez) ได้หันมาร่วมแรง ร่วมใจ เป็นอันหนึ่ง อันเดียว กับบรรดาวุฒิสมาชิกแห่งพรรครีพับลิกัน ภายใต้การนำของ “นายจิม ริสช์” (Jim Rich) แห่งรัฐไอดาโฮ ประสานมือ ประสานตีนให้ความเห็นชอบต่อการผ่านร่างกฎหมาย ที่ให้ชื่อว่า “The Strategic Competition Act 2021” หรือกฎหมายที่มุ่งจะสร้างขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์เพื่อ “แข่งขัน” หรือ “ต่อต้าน” หรือแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ประกาศสงคราม” กับจีน อย่างชนิดเปิดเผย ตรงไป-ตรงมา ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ หรือระดับ 21 ต่อ 1 เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ในรายละเอียดของกฎหมายความยาวประมาณ 300 หน้ากระดาษที่ว่านี้ ต่างพยายามประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการเล่นงานคุณพี่จีน ไม่ว่าในแง่การเมือง การทหาร การทูต การเทคโนโลยี ฯลฯ และการอะไรต่อมิอะไรชนิดพราวไปหมด ไม่ว่าออกไปทางโง่ๆ หรือฉลาดๆ ก็ตาม เช่น ความพยายามจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณปีละไม่น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุน “สื่อฯ อเมริกัน” รวมทั้งสื่อฯต่างประเทศ ให้หาทางสร้างความเสียหาย ยัดเยียดความเลวทรามต่ำช้าให้กับจีน อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ดังนั้น...การที่สื่อฯ อย่าง “The Wall Street Journal” จะออกมาตอบสนองความเป็นไปตามกฎหมายซึ่งกำลังใกล้บังคับใช้ในอีกไม่นานนับจากนี้ โดยการยัดเยียดความฉิบหายให้ประเทศจีน ด้วย “รายงานข่าว” ระดับ “เอ็กซ์คลูซีฟ” ในลักษณะที่ว่า จึงถือว่า “ร้ายกาจ” ซะยิ่งกว่าการใช้อาวุธอันทรงอานุภาพเดิมๆ อย่าง “ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” ตามมาตรฐานตะวันตก ที่แทบกลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว มาต่อสู้เพื่อเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่งเป็นไหนๆ คือหันมาเน้นความกลัว และความน่าเกลียดให้มากๆ เข้าไว้...
ยิ่งไปกว่านั้น สื่อฯ อย่าง “Fox News” ที่เคยก้มหน้า ก้มตา “เชลียร์ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาสนใจความเป็นซ้าย เป็นขวา เป็นอนุรักษ์ เป็นก้าวหน้า หรือเป็นเดโมแครต เป็นรีพับลิกันอีกต่อไปแล้ว ด้วยการโดดไปสัมภาษณ์ “หมอใหญ่” ผู้เชี่ยวชาญสูงสุดในด้านสุขภาพของอเมริกา อย่าง “ดร.แอนโทนี เฟาซี” (Anthony Fauci) ที่เคยมีเรื่อง-มีราวกับ “ทรัมป์บ้า” มาหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ถึงความน่าเกลียด น่ากลัว หรือความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสตัวนี้ จะเล็ดรอดรั่วไหลออกมาจากห้องแล็บของประเทศจีน โดยในเมื่อการ “ต่อต้าน” ประเทศจีน มันใกล้ๆ จะกลายสภาพเป็น “กฎหมาย” ภายในประเทศอเมริกาในอีกไม่นานนับจากนี้ “หมอเฟาซี” ที่เคยยืนหยัด ยืนกราน ว่าเชื้อไวรัสโควิดน่าจะมีที่มาจากความเป็นไปทางธรรมชาติ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์คิดค้น ขึ้นมาเพื่อเล่นงานมวลมนุษยชาติรายหนึ่ง รายใด ก็เลยได้จังหวะที่จะต้อง “พลิกลิ้น” ไปตามสภาพ ด้วยการแสดงความ “เห็นควรด้วย” ที่จะให้สืบสวน สอบสวน ที่มา-ที่ไปของเชื้อไวรัสตัวนี้ในเมืองจีน จนกว่า “เราจะได้รับคำตอบที่ดีที่สุด...ว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่!!!”
ในเมื่อ...แค่นี้-ยังแค่นั้นก็แทบไม่ต้องเสียเวลาสนใจว่าถ้าหากแค่นั้น แล้วจะแค่ไหน??? ดังนั้น...ระหว่างที่ “วัคซีนเมืองจีน” ไม่ว่า “ซิโนแวค-ซิโนฟาร์ม” ออกจะเป็นอะไรที่ “เข้าถึง” ได้ง่าย ขณะที่ “วัคซีนอเมริกา” ไม่ว่าไฟเซ่อ-ไม่เซ่อ ประเภทไฟเซอร์และโมเดอร์นาทั้งหลาย คงมีแต่บรรดาชาวอเมริกาและชาวตะวันตกนั่นแหละ ที่พอจะ “เข้าถึง” หรือพอหาฉีดกันได้สบายๆ เนื่องจากรัฐบาลอเมริกันเขา “อม” เอาไว้ฉีดให้กับผู้คนของเขาเป็นอันดับแรก แบบประเภท “America First” อะไรทำนองนั้นไม่ได้คิดจะแจกจ่าย คิดบริจาคให้กับประเทศจนๆ ประเทศกำลังพัฒนา แบบมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย แต่แม้กระนั้น...ความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสี ความพยายามที่จะทำลายวัคซีนเมืองจีน และวัคซีนรัสเซีย ทั้งซิโนแวค-ซิโนฟาร์ม ไปจนถึงสปุตนิก วี จึงถือเป็นหนึ่งในกระบวนการทางยุทธศาสตร์ ตามแนวทางกฎหมายแบบประเภท “The Strategic Competition Act 2021” นั่นเอง...
ด้วยเหตุนี้...ก็จึงถือเป็นเรื่อง “ไม่แปลก” อีกนั่นแหละ ที่บรรดาพวก “ลิเบอร่าน” หรือพวกปรารถนาและกระเหี้ยนกระหือรือต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนซะเหลือเกิน ในบ้านเรา เลยไม่คิดจะฉีด “วัคซีนเซินเจิ้น” ลงทุนบินไปฉีด “ไฟเซอร์” ในอเมริกา ชนิด “เซ่อ” กันไปเป็นแถบๆ แถมบางรายยังตามไป “ด่า” ประเทศจีน ในเว็บไซต์ต่างๆ ซะอีกด้วย ทั้งๆ ที่ประเทศตัวเองเพิ่งได้รับ “บริจาค” วัคซีนจากเมืองจีน เอามาช่วยเยียวยาช่วยแก้ไขสถานการณ์ไปพลางๆ แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น หรือร่านยิ่งไปกว่านั้น เห็นจะได้แก่บรรดาพวกลิเบอร่านแห่งพรรค “DPP” (Democratic Progressive Party) หรือพรรครัฐบาลในเกาะไต้หวันเขานั่นแหละ...
ด้วยเหตุเพราะความจงเกลียด จงชัง ต่อบรรดาชาวจีนในแผ่นดินใหญ่เป็นทุนเดิม และด้วยความรัก ความหลงใหลต่อชาวตะวันตก โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกาแบบเต็มสูบ เต็มด้าม ขณะที่ไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไล่ฉีดวัคซีนให้กับชาวไต้หวันได้แค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จากจำนวนประชากรประมาณ 23 ล้านคน อันเนื่องมาจากวัคซีนที่สั่งซื้อ สั่งจองไว้ถึง 20 ล้านโดส ยังมาไม่ถึง ได้แค่วัคซีนอังกฤษ อย่าง “แอสตร้าเซนเนก้า” มาแค่ 700,000 โดสเท่านั้นเอง แต่แทนที่จะยอม “เปิดกว้าง” รับบริจาควัคซีน อย่างที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน “นายHung Hsiu-chu” แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง ออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้อนุญาตนำเข้าวัคซีนจากเมืองจีน เนื่องจากชาวไต้หวันไม่อาจรอต่อไปได้อีกแล้ว เพราะ “ศัตรูของเราคือเชื้อไวรัส...ไม่ใช่คนจีนในแผ่นดินใหญ่” แต่ถึงกระนั้น...ประธานาธิบดี “Tsai Ing-wen” แห่งพรรค “DPP” ก็ยังไม่คิดจะอนุญาต กลับหันไปขอร้องวิงวอน คุณพ่ออเมริกา ให้ช่วย “คาย” วัคซีน เอามาช่วยชาวไต้หวันไว้มั่ง...
และก็อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...แม้ว่ารัฐบาลอเมริกันจะพยายาม “สร้างภาพ” ด้วยการประกาศว่าพร้อมจะ “คาย” หรือพร้อมจะบริจาควัคซีนถึง 80 ล้านโดสให้กับบรรดาประเทศต่างๆ แต่สำหรับคำขอร้อง วิงวอน จากพันธมิตรอย่างไต้หวันนั้น ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันในไต้หวัน อย่าง “นายBrent Christensen” ก็ได้ออกมาพูดจาเอาไว้แบบคลุมๆ เครือๆ ประมาณว่า...คงไม่ถึงกับต้อง “รีบร้อน” เพราะไต้หวันเก่งอยู่แล้ว ในการสู้กับเชื้อไวรัสตัวนี้ หรือยังไม่คิดจะ “คาย” วัคซีนอเมริกาให้กับไต้หวันเอาง่ายๆ เพราะอาจต้องรอไปจนกว่าอเมริกาจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าในทางธุรกิจ หรือในทางการเมือง ตามแบบฉบับ “The Strategic Competition Act” แบบเต็มสูบ เต็มด้าม ซะก่อนนั่นเอง...