xs
xsm
sm
md
lg

ชนะทางการเมือง...ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ซากปรักหักพังในฉนวนกาซา (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)
อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ระดับโลกในช่วงนี้...ยังไม่ถึงกับมีอะไรเป็นเรื่อง-เป็นราว เอาเรื่อง-เอาราว มากมายสักเท่าไหร่วันนี้เลยถือเป็นโอกาสที่จะลองกลับไปสำรวจ ตรวจสอบ แนวคิด-ทฤษฎี ของอภิมหาปรมาจารย์ด้านการศึก-สงคราม อย่าง “ท่านประธานเหมา” ผู้เคยพลิกฟ้า-คว่ำดินในเมืองจีนกันดูสักหน่อย ที่ว่าเอาไว้ว่า... “ชนะทางการเมือง-ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง...แพ้ทางการเมือง-แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง” ว่าน่าจะเป็นจริง-เป็นจัง หรือไม่? ประการใด? โดยเฉพาะการนำเอาศึกสงคราม การ “ดวลจรวด-ดวลระเบิด” ระหว่าง “อิสราเอลกับปาเลสไตน์” ที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ มาใช้เป็นแบบอย่างเทียบเคียงกันไปตามสภาพ...

คืออาจเป็นเพราะเมื่อช่วงวัน-สองวัน (25 พ.ค.) ที่ผ่านมานี้...ได้มีนักคิด-นักเขียน คอลัมนิสต์ของสื่ออิสราเอล อย่าง “The Jerusalem Post” ชื่อว่า “นายSeth J. Frantzman” เขาได้ออกมาตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความ ที่ออกจะน่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจมิใช่น้อย นั่นก็คือบทความที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า “Did Israel walk into a Hamas trap in Gaza?” หรือไปๆ-มาๆ การถล่มพื้นที่ลี้ภัยแหล่งสุดท้ายระดับแค่แมวดิ้นตายของพวกปาเลสไตน์ ในเขตฉนวนกาซา ภายในช่วงระยะเวลา 11 วัน ชนิดแทบราบเรียบเป็นหน้ากลอง ผู้คนล้มตายไปถึงเกือบ 300 ราย ไม่ว่าเด็ก-ผู้หญิง ก็ไม่มีข้อยกเว้น บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ราย บ้านเรือนพังพินาศเสียหายไปถึง 16,800 กว่าหลัง ชาวปาเลสไตน์กว่า 90,000 คน ไร้ที่อยู่ ที่อาศัย ขณะที่บรรดาลูกหลานชาวยิวตายไปแค่ 12 คนเท่านั้นเอง บาดเจ็บแค่หลักร้อย ไม่ต้องเสียเงิน-เสียทอง เสียเวลาในการบูรณะอาคารบ้านเรือนมากมายสักเท่าไหร่ สามารถนำเอาความช่วยเหลือของอเมริกา มาเติมจรวดให้กับระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่าง “Iron Dome” ได้อย่างเต็มเม็ด เต็มสูบ แต่สิ่งเหล่านี้...ถือเป็น “ชัยชนะ” หรือ “ความพ่ายแพ้” กันแน่??? ชนิดถึงกับต้องตั้งคำถามขึ้นมาว่า “อิสราเอลกำลังเดินเข้าสู่กับดักของพวกฮามาส” หรือไม่? อย่างไร?...

เพราะโดยเหตุผล รายละเอียด ที่คอลัมนิสต์ “The Jerusalem Post” รายนี้ ได้หยิบมาเป็นคำถามและข้อสังเกต ต้องถือว่าออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย ไล่มาตั้งแต่ฉากสถานการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดการดวลจรวด-ดวลระเบิด ที่ทุกสิ่งทุกอย่างค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดีสำหรับฝ่ายอิสราเอล “แผนสันติภาพ” หรือ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ของอเมริกา ที่ถูกนำเสนอตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” กำลังเดินหน้าแบบพรวดๆ พราดๆ บรรดาชาติอาหรับโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอ่าว อย่างยูเออี บาห์เรน หันมา “ทรยศ” ต่อชาวปาเลสไตน์ ด้วยการเปิดสัมพันธภาพโดยปกติกับอิสราเอล โดยอาจมีพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ตามมาด้วยในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ความร่วมมือในด้านพลังงานระหว่างอิสราเอลกับกรีซและไซปรัส ได้ขยายตัวเป็นรูป-เป็นร่าง และอย่างเป็นทางการ ขณะที่แรงกดดันต่อ “ศัตรูคู่กัด” ของอิสราเอลอย่างอิหร่าน ก็กำลังเป็นไปอย่างถึงพริก ถึงขิง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ....

ส่วนบรรดาชาวปาเลสไตน์...กลับถูกโดดเดี่ยวและปิดล้อม ชนิดหาทางออก ทางไป แทบไม่เจอ แม้มีความพยายามออกเดินสายไปเยือนผู้คนในโลกอิสลาม อย่างตุรกี มาเลเซีย กาตาร์ อิหร่าน ฯลฯ อย่างชนิดตีนพลิก ตีนขวิด ก็ตาม ก็แทบไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นอย่างเท่าที่ควรจะเป็นเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้นเมื่อเกิดการดวลจรวด-ดวลระเบิด ภายในช่วง 11 วันที่ผ่านมา ฉากสถานการณ์ในลักษณะที่ว่า ดูจะเริ่ม “พลิกกลับ” แบบชนิด “พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน” เอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความโกรธ ความเกลียด ของบรรดาผู้คนแทบจะทั่วทั้งโลกต่ออิสราเอล ไม่ว่าการเดินขบวนประท้วงของผู้คนไม่ต่ำกว่า 100 เมืองทั่วทุกซีกโลก การแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อพฤติกรรมของผู้ตั้งถิ่นฐานในอิสราเอลที่พยายามขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติภายใต้การนำของประเทศจีน...

แม้แต่ในอเมริกาเอง...บรรดาพวกปีกซ้ายในพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครต ถึงกับออกมาประณามอิสราเอล ว่าเป็นพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ (Apartheid) เอาเลยถึงขั้นนั้น บรรดาชาวคริสต์นิกาย “Evangelical” ที่เคยยืนหยัด เคียงข้างชาวยิวมาโดยตลอด ก็ชักเริ่มเบื่อ เริ่มเซ็ง ต่อพฤติกรรม การกระทำของรัฐบาลอิสราเอล ยิ่งเข้าไปทุกที หรือล่าสุด...กระทั่งคณะทำงานหรือสต๊าฟหาเสียงให้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของ “โจ ไบเดน” จำนวนถึง 500 ราย ต่างร่วมกัน “เข้าชื่อ” ใน “จดหมายเปิดผนึก” เรียกร้องให้ระงับการช่วยเหลืออิสราเอลโดยเฉพาะด้านอาวุธที่ถูกนำมาใช้เล่นงานชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งให้สืบสวน สอบสวนต่อ “การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” ของอิสราเอลในเรื่องการยึดครองดินแดนของผู้อื่น และให้หาทางนำเอาความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน มามอบให้กับชาวปาเลสไตน์อย่างเป็นงาน-เป็นการซะอีกด้วย...

กระทั่งในประเทศนอร์เวย์ ที่เคยหลงใหล คลั่งไคล้ชาวยิว จนอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความกระทบกระทั่งต่อประเทศอิสราเอล อาจถูกถือเป็นพฤติกรรมแบบ “Antisemitism” มาโดยตลอด แต่เมื่อวันวานที่ผ่านมานี่เอง สมาชิกระดับสูงแห่งโบสถ์นอร์เวย์ ระดับ “บิชอปแห่งกรุงออสโล” อย่าง “Kari Veiteberg” ถึงกับออกมาเรียกร้องให้ทั่วโลกหาทาง “บอยคอต” ประเทศอิสราเอลในฐานะผู้ที่สร้างความรุนแรงให้กับภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยหยิบยกกรณีการถล่มชาวปาเลสไตน์เป็นตัวอย่าง ชนิดแทบไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องของประเทศอิสลามอย่างตุรกี ที่ยุให้โลกทั้งโลกหันมา “แซงชั่นอิสราเอล” ในกรณีดังกล่าว แม้ข้อเรียกร้องเช่นนี้จะก่อให้เกิดการเถียงกันไป-เถียงกันมา ภายในประเทศนอร์เวย์เอง แต่ถือเป็นการสะท้อนความโกรธ ความเกลียด ของบรรดาชาวยุโรปผู้เคยหลงใหล คลั่งไคล้ ต่อชาวยิวทั้งหลาย ว่ามีแต่จะลดน้อย-ถอยลง หรือมีแต่แห้งลงๆ ยิ่งเข้าไปทุกที...

ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนในระดับโลก ก็เริ่มหันมาประณามอิสราเอลอย่างเป็นงาน-เป็นการ แทนที่จะยอม “อมสากกะเบือ” ไว้เฉยๆ แบบก่อนๆ รวมทั้งยังออกมาเรียกร้องให้ยึดมั่นต่อความเป็น 2 รัฐ 2 ชาติ คือรัฐอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่มีความเท่าเทียมกัน ปฏิเสธและคัดค้านความพยายามเข้าไปถิ่นฐานของชาวยิวในพื้นที่ด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเลม ว่าไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “การล่าอาณานิคม” นั่นเอง อันเป็นท่าทีที่แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “จุดยืน” ของประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างประเทศจีนนั่นเอง ฯลฯ ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ ว่า...สะท้อนให้เห็นถึง “ความพ่ายแพ้ทางการเมือง” ของอิสราเอลอย่างชนิด “แพ้ขาด” เอาเลยก็ว่าได้...

ดังนั้น...แม้แต่ในแง่ “การทหาร” ก็แล้วแต่ การสร้างความพังพินาศ ยับเยิน ให้กับพวกฮามาสในพื้นที่เล็กๆ แค่ระดับแมวดิ้นตายอย่างในเขตฉนวนกาซานั้น กลับทำให้คอลัมนิสต์แห่ง “The Jerusalem Post” รายนี้ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ประมาณว่า กลับถือเป็นโอกาสของศัตรูคู่กัดอย่างอิหร่านและพวกเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน สำหรับ “บททดสอบ” ต่อระบบการป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลได้เป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่ “จรวดฮามาส” ที่ยกระดับพิสัยทำการเพิ่มขึ้นไปถึง 250 กิโลเมตร จะด้วยการสนับสนุนของอิหร่านหรือไม่ เพียงใด ก็ตามที สามารถสร้างความเสียหายให้กับเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไป อย่าง “Eliat” หรือ “Dimona” ได้เป็นจำนวนไม่น้อย ยิ่งในช่วงปลายๆ ของเหตุการณ์ ที่เริ่มมีจรวดจากซีเรีย เลบานอน ไปจนแม้แต่เครื่องบินโดรนจากอิรัก เริ่มเล็ดรอดเข้าในน่านฟ้าอิสราเอล จนทำให้กองทัพ “IDF” จำต้องยอมบรรลุข้อตกลง “หยุดยิง” กับฝ่ายปาเลสไตน์กันจนได้ การ “ฉลองชัยชนะ” ของพวกฮามาสในเขตเวสต์แบงก์ กาซา ทั้งๆ ที่ฉิบหายไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จึงใช่ว่าจะเป็นการปลอบประโลมตัวเองเพียงล้วนๆ ก็หาไม่...

ยิ่งไปกว่านั้น...แม้ผู้ที่ถือเป็น “ผู้ชนะตัวจริง-เสียงจริง” อย่างนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” แห่งอิสราเอล ที่สามารถนำเอาชีวิตชาวปาเลสไตน์นับร้อย รวมทั้งชีวิตชาวอิสราเอลนับสิบ มาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับบารมีทางการเมืองของตัวเอง แต่จาก “ข่าวล่า-มาเรือ” คราวล่าสุด ที่หัวหน้าพรรค “Yisrael Beytenu” อย่าง “นายAvigdor Liberman” ผู้จงเกลียดจงชัง “นายเนทันยาฮู” อย่างเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะหันไปสนับสนุนฝ่ายต่อต้านผู้นำอิสราเอลรายนี้ ให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาให้ได้ แทนที่จะต้องกลับไป “เลือกตั้งครั้งที่ 5” กันใหม่อีกรอบ ก็อาจยิ่งกลายเป็น “แพ้...กับ...แพ้” หนักขึ้นไปใหญ่!!! ด้วยเหตุนี้...การตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถามของคอลัมนิสต์ “The Jerusalem Post” รายนี้ จะน่าคิด-ไม่น่าคิด น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ หรือไม่ เพียงใด ผู้ที่สนใจรายละเอียดคงต้องลอง “คลิก” ไปหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน...




กำลังโหลดความคิดเห็น