ปิดฉากสัปดาห์นี้...จะไปหาเรื่อง “เบาๆ” มาสลับฉาก ออกจะยากส์ส์ส์เต็มที เพราะการ “ดวงจรวด-ดวลระเบิด” ระหว่างชาวปาเลสไตน์อย่างพวก “ฮามาส” กับลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน หรือกับกองทัพ “IDF” (Israel Defense Force)ของบรรดาชาวยิวทั้งหลาย ยังดูจะหาจุดจบ จุดลงตัว กันไม่เจอ ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วประมาณร่วมครึ่งร้อย บาดเจ็บกันระนาวสำหรับฝ่ายปาเลสไตน์ บ้านเรือน อาคารพังพินาศฉิบหาย ไม่รู้กี่ต่อกี่หลัง ขณะที่อิสราเอลนั้นตายไปแล้ว 6 บาดเจ็บอีกเกือบครึ่งร้อย และที่สำคัญก็คือออกอาการ “ขวัญหนี-ดีฝ่อ” ยิ่งกว่าพวก “ไม่อยากฉีดวัคซีน” ในบ้านเราไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า...
คือถ้าฟังจากน้ำเสียงของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลนายพล “เบนนี แกนตซ์” (Benny Gantz) แห่งพรรค “ฟ้า-ขาว” ดูๆ มันน่าจะจบยาก จนเย็น อยู่พอประมาณ ดังคำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอิสราเอลไปเมื่อวันพุธ (12 พ.ค.) ที่ผ่านมาประมาณว่า... “ขณะนี้หอประจำเมืองกาซาได้ถล่มทลายลงมาเรียบร้อยแล้ว โรงงานหลายต่อหลายแห่งล่มสลาย อุโมงค์ใต้ดินถูกขจัดกวาดล้าง ไปจนถึงพวกผู้บัญชาการทหารฮามาสถูกลอบสังหารไปเป็นรายๆ แต่ถึงกระนั้น IDF ก็ยังคงต้องปฏิบัติการทิ้งระเบิดต่อไป...จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบสนิทแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!!!” นี่...คือกะจะเอากันให้ถึงขั้นไม่มีสิทธิปริปากเอะอะโวยวาย หรือแค่กระซิบกระซาบ ซุบซิบนินทาอีกต่อไปได้เลย...
ซึ่งก็คงไม่ได้แตกต่างไปจาก “นักการเมือง” รายอื่นๆ ของอิสราเอลในช่วงนี้...คือต้องพยายาม “ดรามา” ให้หนักๆ เข้าไว้ อันเนื่องมาจากการแสดงออกถึงความโกรธ ความเกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยายาท ริษยาและชิงชัง ต่อผู้ที่ถือเป็น “ศัตรู” อย่างชาวปาเลสไตน์นั้น ย่อมต้องส่งผลต่อบทบาทและท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ในอิสราเอลที่ยังหา “จุดลงตัว” ยังไม่เจอในเรื่อง “การจัดตั้งรัฐบาล” อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ และก็แน่ล่ะว่า...ผู้ที่มีบทบาทรับผิดชอบสูงสุดอยู่ในขณะนี้ และเป็นผู้ที่มักจะอาศัย “ศัตรู” ของชาวอิสราเอลเป็น “เครื่องมือ” ในการหาเสียง หาคะแนนนิยม มาโดยตลอด อย่างนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ย่อมต้องกลายเป็นผู้โดดเด่น เป็นสง่า กว่านักการเมืองรายอื่นๆ อยู่แล้วแน่ๆ การล้างผลาญชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขับไล่ไสส่งให้ไปเบียดเสียด ยัดเยียด อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แค่แมวดิ้นตาย หรือในเขตฉนวนกาซาคราวนี้ จึงออกจะดุเดือดเลือดพล่าน หนักหน่วงรุนแรงพอๆ กับเมื่อครั้งปี ค.ศ. 2014 หรือครั้งที่ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปไม่น้อยกว่า 2,100 ราย...
แต่ก็นั่นแหละ...สำหรับพวก “ฮามาส” ในยุคนี้ ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากเมื่อ 7 ปีที่แล้วอยู่พอสมควรเหมือนกัน อย่างที่ “นายYonah Jeremy Bob” คอลัมนิสต์แห่ง “The Jerusalem Post” ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในข้อเขียน บทความ คราวล่าสุดนั่นแหละว่า เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2014 ตลอดช่วงระยะเวลาแห่งการเกิดศึกสงครามยืดเยื้อประมาณ 50 วัน บรรดาบ้องข้าวหลามยักษ์ หรือ “จรวด” ที่พวก “ฮามาส” ประเคนเข้าใส่อิสราเอลนั้น มีอยู่ด้วยกันเฉลี่ยประมาณวันละ 12 ลูก แต่มาคราวนี้...เพียงแค่ 2 วันเท่านั้นเอง “จรวดฮามาส” ที่ยิงเข้ามาในดินแดนอิสราเอล มีจำนวนไม่น้อยกว่า 200-300 ลูก หรือตกเฉลี่ยวันละ 100 ลูก และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ที่เรียกๆ กันว่า “Iron Dome” ของอิสราเอล ซึ่งเคยสามารถรับมือกับ “จรวดฮามาส” ได้ถึง 85-90 เปอร์เซ็นต์เมื่อครั้งก่อนๆ เลยต้องเกิดอาการ “เดี้ยง” ในหลายจุด หลายพื้นที่ หรือไม่อาจ “สกัดกั้น” (Intercept) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลเหมือนเคย...
บรรดาเมืองต่างๆ ไม่ว่า “Ashkelon” “Sedrot” โดยเฉพาะเมืองอุตสาหกรรมและการค้าอย่าง “Tel Aviv” จึงถูกถล่มระดับงอมพระรามไปพอสมควร คลังน้ำมัน-ท่อส่งน้ำมันระหว่างเมือง “Eliat-Ashkelon” ไฟลุกไหม้ควันโขมงไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง แม้กระทั่งเมืองอันเป็นที่ตั้งโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อย่าง “Dimona” ก็โดนบ้องข้าวหลามยักษ์หล่นใส่เป็นท่อนๆ สนามบิน “Ben Gurion” ต้องเลื่อนตารางการบิน เปลี่ยนไปลงที่สนามบินไซปรัสกันแทนที่ ส่วนเมือง “Lod” หรือเมืองโบราณที่อยู่ห่างไปจากกรุง “Tel Aviv” ไปทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร และมีบรรดาชาวอาหรับอาศัยปะปนอยู่กับชาวยิวถึง 1 ใน 3 ไม่ว่าจะโดนจรวดลง-ไม่ลงหรือไม่ก็ตาม แต่เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในสภาพ “จลาจล” ชนิดแทบไม่มีใครกล้าเดินไป-เดินมาตามท้องถนน ที่เต็มไปด้วยรถราถูกลากมาเผาเป็นคันๆ สุเหร่าชาวยิวหลายแห่งถูกเพลิงลุกไหม้ แดงฉานไปทั่วท้องฟ้า ฯลฯ ฯลฯ...
คือต้องเรียกว่า...หนักหนา-สาหัส ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่อาจไล่บด ไล่บี้ ไล่เหยียบ ไล่กระทืบ โดยอิสระและเสรีแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว และยิ่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติอิหร่าน (SNSC) “พลเอกAli Shamkhani” ได้ออกมาให้ความคิดความเห็น ถึงการปะทะระหว่างอิสราเอลและพวกฮามาสในคราวนี้ ว่าสะท้อนให้เห็นถึง “จุดอ่อน” ของระบบ “Iron Dome” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์” ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะถ้าว่ากันตามการประเมินของคอลัมนิสต์แห่ง “The Jerusalem Post” ขณะที่พวกฮามาสได้ยกระดับการตอบโต้ จนสามารถสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่อิสราเอลได้ถึงวันละ 100 ลูก แต่ถ้าเป็นพวก “เฮซบอลเลาะห์” แถวๆเลบานอนแล้ว น่าจะมีขีดความสามารถในการประเคนจรวดใส่ฝ่ายตรงข้ามได้ถึงวันละ 500 ลูกเป็นอย่างน้อย ยิ่งเป็น “อิหร่าน” ด้วยแล้ว...ก็แทบไม่ต้องพูดถึง!!! ยิ่ง “ข่าวล่า-มาเรือ” ช่วงล่าสุด บอกว่าอดีตประธานาธิบดีอิหร่านยุคปี ค.ศ. 2005-2013 อย่าง “นายมาห์มูด อะห์มาดิเนจาด” (Mahmoud Ahmadinejad) ผู้เคยประกาศจะ “ลบประเทศอิสราเอลออกจากแผนที่” กำลังมาแรงแซงโค้ง ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกรอบ ในการเลือกตั้งเดือนมิถุนายนที่จะถึง ก็ยิ่งมีแต่ต้อง “หรี่แอร์” ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
คือถ้าว่าไปแล้ว...การหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับบรรดาประเทศอื่นๆ ของประเทศเกิดใหม่อย่างอิสราเอลนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่ควรจะเป็น เพราะอย่างที่อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง “มอสสาด” “นายEfraim Halevy” เคยให้สัมภาษณ์พิเศษ “The Jerusalem Post” เอาไว้เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานั่นแหละว่า อาจเป็นเพราะบรรดา “นักการเมือง” อิสราเอลไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่อง “นโยบายต่างประเทศ” ในแง่ที่จะหาทางประนีประนอม รอมชอมกับบรรดาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะชาวอาหรับ ให้เป็นเรื่อง-เป็นราว หรือเป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาให้จงได้ แต่กลับเน้นหนักอยู่กับ “นโยบายภายในประเทศ” นั่นคือมุ่งที่จะสร้างความแข็งแกร่ง เหี้ยมเกรียม ให้กับตัวเองให้มากๆ เข้าไว้ เพื่อให้ใครต่อใครหวาดกลัว หวาดเกรง ตัวเองซะเป็นหลัก บรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลายจึงแทบไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสและสัมผัสสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง หรืออย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน สถาพร ต่อไปได้เลย...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ถ้าหากไม่มี “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกาคอยยุ คอยเชียร์ คอยช่วยเพิ่มความกลัว ความเกรงอยู่ข้างๆ บรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน อาจไม่ถึงกับ “กร่าง” มากมายถึงเพียงนี้ เพราะขนาดสิ่งที่ถูกถือเป็นสาเหตุ ต้นเหตุ ที่ทำให้การดวลจรวด-ดวลระเบิดครั้งนี้ต้องอุบัติขึ้นมา นั่นคือความพยายามบุกรุกเข้าไปตั้งถิ่นฐานของชาวยิว ในดินแดนด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ด้วยการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกไปจากพื้นที่ที่เคยอยู่อาศัยดั้งเดิม อันเป็นสิ่งที่ตัวแทนสหประชาชาติประจำตะวันออกกลาง อย่าง “นายTor Wennesland” พยายามระบุไว้ในแถลงการณ์ ให้รัฐบาลอิสราเอลพยายามหาทาง “ระงับ” สิ่งเหล่านี้ลงไปให้จงได้ แต่เพียงแค่ถ้อยคำไม่กี่ประโยคเหล่านี้ ก็ถึงกับทำให้คุณพ่ออเมริกาออกโรงปฏิเสธและคัดค้าน ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ต่างรีบออกมาแสดงถึงความเป็น “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว หรือระดับถือเป็น “กฎเหล็ก” ที่ยังไงๆ...คงต้องสนับสนุนประเทศอิสราเอลเอาไว้ก่อน “สันติภาพในตะวันออกกลาง” มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่โลกทั้งโลกยังคงต้องอยู่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของประมุขโลก อย่าง “จักรวรรดิอเมริกา” นั่นเอง...