วันนี้...สงสัยต้องย้อนกลับมาแวะแถวๆ ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศพม่า หรือเมียนมากันอีกสักรอบ เพราะเห็นข่าวแวบๆ ช่วงวันจันทร์ (3 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่ากองกำลังอาวุธคะฉิ่น หรือ “KIA” (Kachin Independence Army) เขาได้ “สอย” เฮลิคอปเตอร์ของ “กองทัพพม่า” ที่ตามไปไล่ยิง ไล่ฆ่า บรรดาชาวคะฉิ่นแบบแทบไม่ต่างอะไรไปจากชาวกะเหรี่ยง ชาวไทใหญ่แห่งรัฐฉาน หรือกระทั่งชาวพม่าด้วยกันเอง เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง รายแล้ว รายเล่า จนตราบเท่าทุกวันนี้ ชนิดถึงขั้นร่วงผล็อยๆ ไฟลุก ไฟท่วม โดยมีภาพและข่าวจากสำนักข่าว “มิซซิมา” และวิทยุกระจายเสียง “คะฉิ่นเวฟ” ยืนยันเอาไว้โดยชัดเจน แต่กลับไม่คิดจะเปิดเผยในรายละเอียด ว่าได้ใช้อาวุธแบบไหน หรือประเภทใดกันแน่!!!
คือกองกำลังปลดแอกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อช่วงหลายสิบปีที่แล้วก็สามารถนำมา “สอย” การยิงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์...ระดับเจ๊ง ระดับพังพินาศกันเห็นๆ ยังไงๆ สิ่งที่ใช้ในการยิงย่อมต้องไม่ใช่ “หนังสะติ๊ก” อยู่แล้วแน่ๆ ส่วนจะเป็นระดับปืน “AK-47” ที่ถูกใช้เป็นอาวุธประจำกายของกองกำลัง “KIA” มาโดยตลอด เป็นปืน “M-16” หรือปืนไรเฟิลชนิดใดๆ ก็แล้วแต่ คงไม่ต้องเสียเวลาหยิบมาคิดโน่น-คิดนี่ อะไรกันมากมาย เพราะเพียงแค่อาวุธระดับนี้ อดีตนักรบจรยุทธ์ในบ้านเรา อย่าง “ทปท.” หรือ เฮลิคอปเตอร์ของทางการ ให้ร่วงผล็อยๆ ลงมาได้ไม่ยากส์ส์ส์ แต่ถ้าหากเป็นประเภท “เครื่องบินรบ” หรือเครื่องบินโจมตี ที่กองทัพพม่าใช้ถล่มพวกกะเหรี่ยง พวกไทใหญ่ เมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ ที่อาจต้องอาศัยอาวุธประเภท “จรวด” หรือ “บ้องข้าวหลามยักษ์” ชนิดหนึ่ง ชนิดใด อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องหยิบมาคิดแล้ว-คิดอีก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะนั่น...อาจหมายถึงโอกาสที่พม่าจะกลายสภาพไปเป็น “ซีเรีย” อย่างที่ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ “นางมิเชล บาเชเลต์” (Michelle Bachelet) ได้ตั้งข้อสังเกต หรือได้แสดงความเป็นห่วง เป็นใย เอาไว้ตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที...
เพราะแม้หลังจากมีโอกาสได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียนช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ของพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” ผู้นำรัฐประหารพม่า แต่ไม่ว่าบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนจะกด จะบีบ จะเคล้าคลึง เคล้นคลึง หรือเคล้าแข้ง-เคล้าขากันในแบบไหน วิธีไหน ก็แล้วแต่ ดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารพม่า...คงไม่ได้คิดจะหยิบเอามาเป็น “สาระ” มากมายสักเท่าไหร่ หรืออย่างที่โฆษกรัฐบาลเผด็จการ “พลเอกซอ มินตุน” ได้บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีเอาไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า “เสถียรภาพ” ของเผด็จการพม่าต้องมาก่อน ส่วน “ฉันทามติของอาเซียน” เอาไว้ทีหลัง!!! ไม่ว่า 5 d,6 d อันสุดจะเชยซ์ซ์ซ์แสนเชยซ์ซ์ซ์ ที่รัฐบาลไทยแลนด์ แดนสยาม เพียรพยายามเสนอไว้แบบเอาเก๋ เอาเท่ กันในระดับไหนก็ตาม ดังนั้น...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (2 พ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง กองทัพพม่าเลยยังคงไล่ยิง ไล่ฆ่า บรรดาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปอีกจำนวนไม่น้อยตามเมืองต่างๆ ที่ผู้คนยังคงพยายาม “เดินขบวน” กันไม่หยุด...
แต่สำหรับการเดินขบวนแถวๆ เมืองที่พวกกะเหรี่ยง “KNU” หรือพวกไทใหญ่รัฐฉาน “SSA” ยังพอมีน้ำอิ๊ว น้ำยา อยู่มั่ง ก็อาจอยู่รอดปลอดภัยขึ้นมาสักหน่อย เพราะบรรดากองกำลังอาวุธเหล่านี้ นอกจากประกาศพร้อมที่จะปกป้อง คุ้มครอง บรรดาผู้ประท้วง ผู้ลงถนนกันอย่างเอาจริง-เอาจัง แถมยังแสดงท่าทีพร้อมที่จะ “เอาด้วย” กับรัฐบาล “CRPH” (Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw) รัฐบาลทางเลือกของพวกนักการเมืองพม่า หรือพวกสมาชิกพรรค “NLD” จำนวนไม่น้อยกว่า 380 คน อันส่งผลให้เผด็จการพม่าเลยต้องหันไปเปิดศึก 2 ด้านหรือ 2 สมรภูมิกับพวกกะเหรี่ยง “KNU” และกองกำลังรัฐฉาน “SSA” ใช้เครื่องบินรบ เครื่องบินโจมตี ถล่มเล่นงาน จนบรรดาผู้อพยพหลบลี้หนีภัย ต้องทะลักเข้ามาตลอดแนวพรมแดนประเทศไทยนับเป็นพันๆ หมื่นๆ จนตราบเท่าทุกวันนี้...
แต่การเปิดศึกกับกะเหรี่ยง กับไทยใหญ่ ที่มีพื้นที่ประชิดติดพันกับพรมแดนประเทศไทยเป็นหลักใหญ่ คงเป็นอะไรที่ไม่ถึงกับน่าหนักอก หนักใจ มากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะนอกจาก “ทหารไทย” จะใจดี มีเมตตา โอบอ้อมอารีอย่างเป็นพิเศษไม่เพียงแต่พร้อมจะต้อนรับ ดูแล ผู้ลี้ภัย ยังพร้อมที่จะส่งน้ำ ส่งข้าว ไปให้ทหารพม่าซะอีกด้วยต่างหาก ต่างไปจากการเปิดศึกกับพวก “คะฉิ่น” ที่อยู่ติดพรมแดนด้านจีนซะเป็นส่วนใหญ่ อันนี้นี่แหละ...ที่อาจเกิดเรื่อง-เกิดราว หรือเป็นเรื่อง-เป็นราวขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะแม้ว่า “ทหารจีน” ท่านอาจโอบอ้อมอารีอยู่ตามสมควร เคยเปิดศูนย์รับผู้ลี้ภัยชาวคะฉิ่นถึง 9 แห่งในมณฑลยูนนาน มีชาวคะฉิ่นลี้ภัยรวมกันเกือบหมื่นๆ คน แต่ภายใต้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่าง “คะฉิ่น” กับ “จีน” ที่ค่อนข้างซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มิใช่น้อย ชนิดกองกำลังติดอาวุธอย่าง “KIA” นั้น อาจจัดอยู่ในประเภท “คอมมิวนิสต์เก่า” เอาเลยก็ว่าได้เคยมีมิตรจิต-มิตรใจ มีสายใยผูกพันกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาโดยตลอด...
แม้บางช่วง บางระยะ จะเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างรัฐบาลจีน นักลงทุนชาวจีนกับชาวคะฉิ่น อันเนื่องมาจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่ว่า “เขื่อน” ผลิตไฟฟ้าที่ถูกสร้างไว้ในรัฐคะฉิ่นไม่น้อยกว่า 7 แห่งด้วยกัน หรือโครงการท่อขนส่งพลังงาน “Sino-Burma Pipeline” ที่ตัดผ่านเมือง Kyaukpyu ในรัฐคะฉิ่น ไปยังเมือง Ruili ในมณฑลยูนนาน แต่การที่รัฐบาลจีนสามารถเกลี้ยกล่อมให้กองกำลัง “KIA” ของคะฉิ่น ยอม “หยุดยิง” หันมา “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับรัฐบาลพม่าได้ก่อนหน้านั้น ก็ต้องถือเป็นภาพสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังคะฉิ่นกับกองทัพจีน ได้พอสมควรทีเดียว และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน ที่ทำให้บรรดา “ทหารพม่า” ออกจะก้ำๆ กึ่งๆ กับการต้องพึ่งพาอาศัยรัฐบาลจีนหรือเกิดความระแวงแคลงใจ ต่อการ “พึ่งจีน” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ชนิดถือเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งอันทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ อย่างโครงการเขื่อน “Myitsone Hydroelectric” มูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านของจีน มีอันต้องชะงักไป-ชะงักมาอยู่นานแสนนาน ก่อนค่อยๆ เกิดความร่วมมือ-ร่วมใจ ที่อาจพอได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ในรัฐบาลพลเรือนของ “นางอองซาน ซูจี” ในเวลาต่อมา...
ดังนั้น...การเปิดศึกกับกองกำลัง “KIA” ของคะฉิ่น โดยกองทัพพม่าในช่วงนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่น้อยไปกว่าการเปิดศึกกับกองกำลังกะเหรี่ยง “KNU” หรือกองกำลังรัฐฉาน “SSA” เพราะถ้าหากบรรดากองกำลังชนชาติส่วนน้อยหรือชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย เกิดร่วมมือ-ร่วมใจผนึกกำลังเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันกับ “รัฐบาลทางเลือก CRPH” หรือกับบรรดาผู้ประท้วงชาวพม่าที่ยังพร้อม “ชู 3 นิ้ว” แม้จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะตายไปแล้วเป็นร้อยๆ พันๆ อันนี้นี่แหละ...โอกาสที่จะไปไกล ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี แบบเดียวกับ “ซีเรีย” ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที หรือโอกาสที่ไม่ใช่แค่ “เฮลิคอปเตอร์” ของกองทัพพม่าที่อาจโดน “สอย” ด้วยอาวุธประจำกายระดับ “AK-47” ของพวกคะฉิ่นเท่านั้น เผลอๆ...ระดับเครื่องบินรบ เครื่องบินโจมตีของกองทัพพม่า อาจร่วงผล็อยๆ ณ วันใด วันหนึ่ง ก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน...
โดยถ้าหากไปไกล ไปโลดถึงขั้นนั้น...แน่ล่ะว่า “อภิมหานักแทรกแซงกิจการภายใน” อย่างคุณพ่ออเมริกา คงมิอาจปล่อยให้โอกาสดังกล่าวหลุดมือไปได้โดยเด็ดขาด บรรดาพวก “นักรบยะไข่” ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมผูกพันกับกองกำลังก่อการร้ายของพวก “ไอเอส-ไอซิส” มาโดยตลอด หรือแม้แต่ทวยทหารในกองทัพพม่าเอง อย่างประเภท “พลเอกมา ตุน อู” (Mya Tun Oo) ที่ถึงขั้นต้องไปจ้างวาน “ล็อบบี้ยิสต์” ชาวยิวสัญชาติแคนาดา อย่าง “นายอารี เบน-เมนาเช” (Ari Ben-Manashe) มาช่วยพูดจาเกลี้ยกล่อมฝ่ายความมั่นคงอเมริกา ให้หาทางออก ทางไป จากความพยายาม “เลิกพึ่งจีน” ของกองทัพพม่าลงไปให้จงได้ อันนี้...เผลอๆ อาจไม่ใช่แค่ “ซีเรีย” อาจไปไกลถึง “เวียดนาม 2” เอาเลยก็ไม่แน่!!!