คำข่มขู่ของอดีตปธน.ทรัมป์ ในช่วงหาเสียงเฟ้นตัวผู้สมัครแข่งตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ ที่พยากรณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะจมดิ่งเหวถ้าประชาชนอเมริกันจะเลือกโจ ไบเดน เข้ามาเป็นปธน.ในทำเนียบขาว
ทรัมป์ยังขู่ด้วยว่า ดัชนีหลักในตลาดหลักทรัพย์ที่นิวยอร์ก จะพับฐานหลอมละลายทันทีที่ไบเดนเข้ามาทำงานที่ทำเนียบขาว
เวลาผ่านไป 100 วัน หลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของปธน.โจ ไบเดน เกิดปรากฏการณ์ตรงข้ามกับคำข่มขู่โกหกของทรัมป์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
กระดานหลักตลาดทุนที่นิวยอร์ก กลับทำลายสถิติวันแล้ววันเล่า ไม่ว่าจะเป็นดัชนีดาวโจนส์, เอสแอนด์พี, แนสแด็ก และรวมถึงกระดานหุ้นตัวเล็กคือ กระดานรัสเซล (Russell) ทั้งหุ้น 1 พันบริษัทหรือ 2 พันบริษัทเล็กด้วย เป็นอาการที่น้ำไหลบ่าเข้ามาจนทำให้เรือทั้งลำเล็กลำใหญ่ลอยขึ้นพร้อมๆ กันยกแผง รับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ชนิดที่ไอเอ็มเอฟปรับขึ้นการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ แทบไม่ทัน จากที่ติดลบในปีที่แล้ว (2020) ก็กลับมาเป็นบวกอย่างน่ามหัศจรรย์ใน Q1 และ Q2
เรียกว่า 100 วันของไบเดนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นขึ้นมาเทียมหน้าเทียมตากับเศรษฐกิจของจีนที่ได้ฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว (และกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกเพียงประเทศเดียวในปีแห่งการระบาดใหญ่ของโควิด ที่สามารถเติบโตได้) เพราะในกลุ่ม G7 นั้น นอกจากจีนแล้วทั้ง 6 ประเทศกลายเป็นเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงจากผลพวงของโรคระบาดโควิด
ในวันแรกๆ ที่ไบเดนเข้ามารับตำแหน่งในทำเนียบขาว เขาได้ลงนามในคำสั่งปธน.มากเป็นประวัติการณ์ เพื่อหันหัวเรือสหรัฐฯ ไปในทิศทางตรงข้ามกับ 4 ปีของทรัมป์
หนึ่งในนั้นคือ การออกคำสั่งให้ใครก็ตามที่เข้ามาติดต่อราชการ ทั้งภายในอาคารของรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น จะต้องบังคับสวมหน้ากาก (mask mandatory)
และประกาศฉีดวัคซีน 100 ล้านเข็มใน 100 วัน ซึ่งต่างกับสมัยทรัมป์ที่ฉีดได้ไม่ถึง 2 แสนเข็มใน 40 วันสุดท้าย
ผลงานที่สำคัญที่ไบเดนจัดลำดับหลังเข้ารับตำแหน่งคือ การผลักดันงบยักษ์ถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสามารถผ่านสภาล่างอย่างสบายๆ เพราะเดโมแครตมีเสียงข้างมากอยู่แล้ว และยังสามารถผ่านวุฒิสภาได้อย่างหวุดหวิดด้วยเสียงเพียงเสียงเดียวของรองปธน.แฮร์ริส (ถึงจะไม่ได้รับเสียงจากสมาชิกวุฒิสภาฝ่ายรีพับลิกันแม้แต่เสียงเดียวก็ตาม)
งบนี้มีชื่อว่า American Rescue Plan เป็นงบเพื่อกอบกู้สหรัฐฯ หลังเศรษฐกิจอเมริกันดิ่งเหวจากการระบาดหนักของโควิด
งบนี้มีเงินช่วยเหลือด่วนแก่เพื่อนร่วมชาติที่กำลังตกงานอย่างหนัก, ถูกลดเงินเดือน และไม่มีอะไรกินจากการขาดรายได้อย่างรุนแรง รวมทั้งการปิดตัวของร้านรวงต่างๆ เนื่องจากลูกค้าพอใจกักตัวอยู่แต่ในบ้าน, ทำงานจากบ้าน และหยุดกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน
และยังมีเงินที่ทุ่มเข้าไปเพื่อการซื้อวัคซีน, เครื่องตรวจเชื้อ, อุปกรณ์สำหรับการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งการจ้างบุคลากรเพื่อมาทำหน้าที่ฉีดวัคซีนหรือเหล่าบรรดาแพทย์ พยาบาลที่มารักษาผู้ป่วย
หลังจากได้ระดมฉีดวัคซีน พร้อมๆ กับการตรวจเชื้ออย่างกว้างขวาง ก็ได้มีการประกาศปรับเป้าการฉีดวัคซีน จาก 100 ล้านเข็มเป็น 200 ล้านเข็มใน 100 วัน ซึ่งต้องการบุคลากรมหาศาลเพื่อระดมฉีดวัคซีนอย่างใหญ่โตขนาดหนัก และได้รับความร่วมมือจากเจ้าของสถานที่ต่างๆ ทั้งห้างร้าน, สนามกีฬา, มหาวิทยาลัย ฯลฯ จนบางวันก็สามารถฉีดวัคซีนได้สูงถึง 4 ล้านเข็ม โดยมีตัวเลขถัวเฉลี่ยต่อวันเกือบ 3 ล้าน 5 แสนเข็มต่อวัน
จนถึงวันที่ 90 ที่อยู่ในตำแหน่ง ไบเดนก็ประกาศว่า สหรัฐฯ สามารถฉีดวัคซีนได้ถึง 200 ล้านเข็มแล้ว ซึ่งครอบคลุมประชากรถึงกว่า 100 ล้านคน (บางคนได้รับการฉีดเข็มแรกแล้ว) ซึ่งถ้านับเป็นจำนวนผู้ฉีดวัคซีนแล้ว ก็เกิน 1/3 ของประชากรทั้งหมด และตอนนี้ก็กำลังเขยิบเข้าสู่ครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด...นั่นหมายถึงผลสำรวจของไบเดนในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสหรัฐฯ
ก่อนครบ 100 วันของไบเดน ก็เพิ่งมีประกาศจาก CDC ว่า จะยกเลิกกฎบังคับสวมหน้ากากเพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ได้ลดลงอย่างมหาศาล รวมทั้งตัวเลขคนไข้ที่ต้องตายจากโควิดก็ลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นกัน เป็นตัวเลขที่ผกผันกับตัวเลขการฉีดวัคซีนนั่นเอง
คือ ผ่อนผันกฎที่ต้องสวมหน้ากากทั้งภายในหรือภายนอกอาคาร มาเป็นให้ยังคงสวมหน้ากากเฉพาะภายในอาคารเท่านั้น
คะแนนนิยมของไบเดน ในวันทำงานครบ 100 วันได้คะแนนรวม (จากหลายๆ โพล) ประมาณ 55% ซึ่งสูงกว่าของทรัมป์ที่ได้แค่ 45%; และไบเดนได้คะแนนสูงกว่า 60% ในด้านการจัดการกับโรคระบาดโควิด และด้านที่สูงถึง 60% ก็คือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้ผุดแผนใหญ่ฟื้นฟูสหรัฐฯ ที่จะตามแผนกอบกู้มาติดๆ
นั่นคือ American Jobs Plan และ American Families Plan ซึ่งทั้งสองแผนนี้จะเป็นแผนยกเครื่องเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ พอๆ กับแผน New Deal ของ FDR และแผน Reform ใหญ่ของ LBJ ที่จะยกเครื่องครอบครัวอเมริกันให้กินดีอยู่ดีกันทั่วหน้า
ทั้งๆ ที่สองแผนหลังนี้ จะต้องใช้เงินมหาศาลที่จะได้มาจากการขึ้นภาษีคนรวย (ทั้งภาษีรายได้และภาษีที่ดิน, ภาษีมรดก) และบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ รวมทั้งภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดทุนด้วยก็ตาม
100 วันของไบเดน เป็น 100 วันที่ทำงานอย่างหนักเพื่อกอบกู้วิกฤตโรคระบาด และเศรษฐกิจที่เกือบหลอมละลายของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงแก้ปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของชาติ แต่ก็มีแผนที่จะนำพาชาติไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ และสังคมที่มีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น
ไบเดนมีประสบการณ์ยาวนานถึง 40 ปีในสภา รวมทั้งการบริหารร่วม 8 ปีกับปธน.โอบามา ประกอบกับเขามีที่ปรึกษาเก่งๆ จำนวนมาก และรมต.ร่วมทีมที่เก่งและมือสะอาด
รวมทั้งเขามีอายุมากที่สุดในตำแหน่งปธน. จึงต้องการสร้างตำนานทิ้งไว้เป็นที่จดจำของคนรุ่นหลัง
เขาไม่ได้รีบแต่งเพลง “ขอเวลาอีกไม่นาน”...ที่รอกันมา 7 ปีก็ยังไม่มีตำนานใดจะส่งต่อให้ลูกหลาน...แต่ไบเดนได้ลงมือทำ-ทำ-ทำอย่างทุ่มเทจริงจัง, อย่างมีการวางแผนอันชาญฉลาดเพื่อให้อเมริกากลับมานั่งหัวโต๊ะได้อีกครั้ง; ไม่ให้น้อยหน้าจีน และให้เพื่อนร่วมชาติส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าก่อนที่เขาจะเข้ามาบริหาร