xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อญี่ปุ่นใช้มหาสมุทรแปซิฟิกเป็น “ถังขยะ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องพยายามไปควานหาเรื่องที่ไม่ถึงกับ “หนัก” จนเกินไป แม้อาจ “หนักศีรษะ” หรือ “หนักหัวกบาล” ใครต่อใครอยู่มั่งมิใช่น้อย โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่อยู่บ้านใกล้-เรือนเคียง กับคุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ นั่นแหละ ที่หนีไม่พ้นต้องหนักหัว หนักสมอง ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปพอประมาณ ต่อการตัดสินใจครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น “นายโยชิฮิเดะ ซูงะ” (Yoshihide Suga) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีผลสรุปออกมาประมาณว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ...ญี่ปุ่นคง “เลี่ยงไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว” ที่จะต้องเทน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ลงสู่ “ถังขยะ” อันได้แก่มหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่รอบๆ ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง!!!
 
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่ทำให้บรรดาอาณาบริเวณบ้านใกล้-เรือนเคียงของญี่ปุ่น ไม่ว่าคุณพี่จีน คุณน้องเกาหลีใต้ ไปจนคุณหนูเล็กและเด็กๆ ทั้งหลาย อย่างเกาะเล็กๆ ในไต้หวัน ต่างสะดุ้งโหยงกันไปเป็นแถบๆ เพราะปริมาณน้ำที่ยังคงปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ซึ่งเคยเอาไว้ใช้ “หล่อเย็น” ให้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่เนื่องมาจากความพังพินาศของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ “ฟูกูชิมะ” (Fukushima) เมื่อครั้งเกิดเหตุภัยสึนามิช่วงปี ค.ศ. 2011 โน่นเลย เลยทำให้ต้องเก็บกักน้ำเหล่านี้ที่มีปริมาณมากมายมหาศาลระดับประมาณ 1.25 ล้านตัน หรือระดับสามารถเอาไปเติมสระน้ำโอลิมปิกได้ถึง 500 สระ เป็นอย่างน้อย ต้องใช้เนื้อที่ ใช้อ่าง ใช้ถัง ไม่น้อยกว่า 1,020 อ่าง เก็บกักเอาไว้นานนับสิบๆ ปี เพื่อบำบัด หรือเพื่อทำให้สารกัมมันตรังสีต่างๆ มันเจือจางลงไป...
 
จนเมื่อเกิดความมั่นอก มั่นใจ ขึ้นมามั่งแล้วว่า...ภายใต้กระบวนการบำบัดโดยระบบที่เรียกว่า “ALPS” หรือ “Advanced Liquid Processing System” ด้วยการควบคุม ดูแล ของบริษัท “TEPCO” (Tokyo Electric Power) ทำให้สารอันตรายต่างๆเจือจางลงไปจนแทบไม่เหลืออันตรายใดๆ อีกแล้ว เหลือแต่เพียงสารบางอย่างที่เรียกว่า“Tritium” อันเป็นไอโซโทปของไฮโดรเจนเท่านั้นเอง ที่ย่อยสลายช้าเอามากๆ เพราะอาจต้องใช้เวลาถึง 12.3 ปี กว่าที่อะตอมประมาณแค่ครึ่งหนึ่งจะสลายหายตัวลงไปได้บ้าง แต่ด้วยเหตุที่ปริมาณสารที่ว่านี้มีอยู่น้อยเอามากๆ หรือน้อยกว่า “มาตรฐานสากล” ที่ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญจากทบวงปรมาณูสากล หรือ “IAEA” (International Atomic Energy Agency) ไปจนถึงองค์การอนามัยโลก “WHO” (World Health Organization) ต่างพร้อมยืนยัน นั่งยัน ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อใครๆ อยู่แล้วแน่ๆ อีกทั้งการต้องปรับตัว ปรับประเทศ ให้สอดคล้อง กลมกลืนกับบรรยากาศความเป็น “เจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก” ในปีนี้ หรือปีไหนๆ ก็แล้วแต่ สนามกีฬาบางแห่ง บางจุด ที่อยู่ใกล้ๆ โรงงานไฟฟ้าฟูกูชิมะแค่ประมาณ 60 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ก็คงต้องต่อเติม เสริมแต่ง ต้องปรับพื้นที่ ปรับเนื้อที่ และหาทางขจัดปริมาณน้ำที่ใกล้ๆ จะล้นอ่างให้หายเกลี้ยงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้...
 
แต่ก็อย่างว่า...สาร “Tritium” ที่ว่านี้ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เถียงๆ กันในหมู่บรรดาผู้เชี่ยวชาญ บรรดานักวิทยาศาสตร์มานานแล้วว่าโดยระดับ “มาตรฐาน” ของมัน จะต้องมาก-น้อยไปถึงระดับไหน จึงจะไม่ก่อให้เกิด “อันตราย” ต่อผู้คน ต่อสรรพชีวิตทั้งหลาย ได้แบบ “ชัวร์” โดยไม่ต้อง “มั่วนิ่ม” โดยเด็ดขาด เพราะขนาดแค่นำไปใช้แต่งแต้ม “นาฬิกาสวิส” เพื่อให้เกิดการ “เรืองแสง” ในเข็มเวลา นาที หรือในหน้าปัดนาฬิกาแต่เพียงเท่านั้น ยังก่อให้เกิดการเถียงไป-เถียงมา แบบชนิดคอเป็นเอ็น จนทำให้ “สหพันธ์นาฬิกาสวิส” ต้องตัดสินใจเลิกใช้สารชนิดนี้ ไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมาโน่นเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลาและเสียรังวัดต่อนาฬิกายี่ห้อดังๆ โดยใช่เหตุ ดังนั้น...แม้แต่“นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น” แท้ๆ อย่าง “นายMichia Kai” แห่งมหาวิทยาลัย “Otai University of Nursing and Health” ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องพูดไปตามเนื้อผ้าว่า โดยปริมาณสาร “Titium” ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปริมาณน้ำจากโรงงานฟูกูชิมะ ทำให้ “ไม่อาจสรุปได้ว่า...ความเสี่ยง...มีค่าเท่ากับศูนย์”...
 
ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ความพยายามใช้มหาสมุทรแปซิฟิกเป็น “ถังขยะ” ของญี่ปุ่นคราวนี้ เลยถูกบรรดาประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง ออกมาเอะอะ โวยวาย อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ โดยเฉพาะคุณพี่จีน ที่ถูกเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างญี่ปุ่น แต่ดันไปซบอก ซบเท้า คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด อย่างไม่คิดเปลี่ยนใจไปเป็นอื่น พร้อมที่จะร่วมมือ “ปิดล้อมจีน” ตามยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” หรือตามฐานะ บทบาท ของหนึ่งในประเทศ “QUAD” อย่างชนิดขยันขันแข็งซะเหลือเกิน เลยต้องถูกโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายZhao Lijian” ถึงกับออกมาเรียกร้องรองนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่าถ้าแน่จริง...ถ้าเชื่อว่าน้ำดังกล่าวไม่เป็นอันตรายใดๆ ก็ “ซดซะ!!!” หรือให้ทดลองดื่มน้ำดังกล่าวให้ใครต่อใครได้เห็นเป็นแบบอย่าง เรียกว่า...ได้จังหวะ “ได้ที...ขี่แพะไล่” ชนิดไม่ว่า “โรนิน” หรือ “ซามูไร” อาจต้องคว้านท้องตัวเองเอาเลยถึงขั้นนั้น...
 
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างเกาหลีใต้ ที่ออกจะ “เหม็นเปรี้ยว” ญี่ปุ่นมาโดยประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเนื่องจาก “บาดแผล” ที่ญี่ปุ่นทิ้งไว้ในเกาหลี ออกจะปวดแสบ ปวดร้อนเอามากๆ ก็ถือเป็นจังหวะที่จะตามเหยียบ ตามกระทืบ การแสดงออกถึงความปรารถนา-ความต้องการที่จะใช้มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นถังขยะของญี่ปุ่นคราวนี้ ชนิดเตรียมฟ้องศาลโลก หรือศาลอาญาระหว่างประเทศเอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้น...เลยเหลือแต่เกาะเล็กๆ อย่าง “ไต้หวัน” ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี “ไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-wen) แห่งพรรค “DPP” (Democratic Progressive Party) ที่งานนี้...ต้องเรียกว่าชักขยับอะไรไม่ค่อยจะออก เพราะในช่วงระหว่างนี้หรือในอนาคตอันใกล้ ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างญี่ปุ่นนั้น ถือเป็น “มหามิตร” รายสำคัญของพรรค “DPP” ไม่น้อยไปกว่าคุณพ่ออเมริกา ในอันที่จะช่วยสนองตอบความปรารถนา “แยกดินแดน” หรือความต้องการ “เป็นเอกราช” ของไต้หวันอย่างมิอาจหันไปดุด่า ว่ากล่าว ใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น...
 
แต่ด้วยเหตุเพราะการ “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) ของผู้นำไต้หวันแบบชนิดแท่งแล้ว แท่งเล่า นี่เอง...เลยส่งผลให้บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายค้าน อย่างเช่นพรรค “ก๊กมินตั๋ง” (Kuomintang) เป็นต้น ออกมาไล่บด ไล่บี้ วิพากษ์-วิจารณ์ประธานาธิบดี “ขวัญใจคนรุ่นใหม่” รายนี้ แบบชนิดเสียสุนัขเสียรังวัดกันไปพอสมควร คือไม่ใช่แต่เฉพาะการอมเชาวรินในกรณีญี่ปุ่นคิดปล่อยน้ำฟูกูชิมะลงทะเลคราวนี้เท่านั้น แต่ยังลากยาวไปถึงครั้งที่รัฐบาลไต้หวันตัดสินใจปิดตาซะหนึ่งข้าง หรือสองข้าง ปล่อยให้มีการ “นำเข้าเนื้อสุกร” จากอเมริกา ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) ในการเลี้ยง ที่ทำให้แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็ยังไม่คิดจะเอาด้วย เลยถูกรัฐบาลอเมริกันชุดที่แล้ว หรือรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” เล่นงานด้วยการตัดสิทธิ์ “GSP” ของไทยไปเมื่อปีที่แล้ว...
 
การคิดเทน้ำฟูกูชิมะลงทะเล หรือลงมหาสมุทรแปซิฟิกของญี่ปุ่นในอีก 2 ปีข้างหน้า...จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือเรื่องเล็กๆ ต่อไปอีกแล้ว แต่กลายเป็นเรื่อง “การเมืองระหว่างประเทศ” ที่ก่อให้เกิดผลเสีย-ผลได้ ต่อการชิงไหว-ชิงพริบ ชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบของบรรดาประเทศในภูมิภาคนี้ อย่างเป็นกิจการและเป็นกระบวนการ ชนิดถึงแม้ประเทศพี่เบิ้มสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายแอนโธนี บลิงเคน” จะออกมารับประกัน การันตี ให้กับการกระทำเช่นนี้แบบเต็มปาก เต็มคำก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ...กลับยิ่งทำให้ “มาตรฐานอเมริกัน” ยิ่งกลายสภาพเป็น “อเมริกัน สแตนดาร์ด” หรือเป็น “โถส้วม” ยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่บรรดานักชิทๆ-แชทๆ ในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊กที่ดาหน้าออกมา “กดไม่ไลค์” ทั้งอเมริกาและญี่ปุ่นกันไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึง “มาตรฐานอเมริกัน” ที่ชัดเจนเอามากๆ ประมาณว่า “ตราบใดที่ไม่ใช่จีน...ทุกอย่างดีหมด” นั่นเอง!!!
 




กำลังโหลดความคิดเห็น