xs
xsm
sm
md
lg

บุรุษผู้คิดจะจัดตั้ง “รัฐบาลโลก” (3)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เออร์เนสต์ ออพเพนไฮเมอร์
การควบคุมเหมืองเพชร เหมืองทอง ในแอฟริกาใต้ของ “เซซิล โรดส์” นั้น...อาจเป็นไปไม่ได้เอาเลย ถ้าหากไม่มี “มือรอง” อย่าง “อัลเฟรด เบธ” (Alfred Beit) นักธุรกิจชาวยิวผู้สงบเสงี่ยม และผู้ที่ชอบทำงานอยู่เบื้องหลัง จนได้ชื่อ ฉายาว่า “หุ้นส่วนผู้เงียบงำ” (Silent Partner) เจ้าของบริษัทดีลเลอร์รับซื้อเพชร อย่างบริษัท “Wernher-Beit & Co.” หนึ่งในสิบของบริษัทที่ทำหน้าที่ “กำหนดราคาเพชร” ในตลาดโลก หรือที่ถูกเรียกขานกันในนาม “The London Syndicate” รวมทั้งยังเป็นผู้ที่มี “รสนิยม”สอดคล้องต้องกันกับ “เซซิล โรดส์” คือจัดอยู่ในประเภท “เกสรอ่อนระทวย” เช่นเดียวกัน... 

เพราะด้วยการร่วมไม้-ร่วมมือระหว่างนักธุรกิจอังกฤษอย่าง “เซซิล โรดส์” กับนักธุรกิจชาวยิวอย่าง “อัลเฟรด เบธ” นี่เอง ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัท “เดอ เบียร์ส” ที่สามารถควบคุมและผูกขาดตลาดเพชรในระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ทั่วทั้งโลก แต่ยังสามารถนำไปสู่การจัดตั้งบริษัท “British South Africa Company” หรือ “BSAC” ที่มีสถานะไม่ต่างอะไรไปจากบริษัท “EIC” หรือ “East India Company” ซึ่งสามารถยึดบ้าน ยึดเมือง ยึดดินแดนต่างๆ ทั่วทั้งโลกมาเป็นอาณานิคมของอังกฤษชนิดรายแล้ว รายเล่ามาโดยตลอดนั่นเอง คือเป็นบริษัทที่ได้รับมอบสิทธิพิเศษหลายต่อหลายอย่างจากรัฐบาล หรือจากราชสำนัก ให้สามารถออกกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจของชาวอังกฤษในแต่ละพื้นที่ สามารถจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเอง หรือกองทัพ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัท สามารถทำสนธิสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ รวมทั้งบางครั้ง บางครา ยังสามารถผลิตเงินตราที่เอาไว้ใช้ในขอบเขตพื้นที่ยึดครองอีกด้วยก็ยังได้ ฯลฯ... 

และด้วยการอาศัยบทบาทของบริษัท “BSAC” นี่เอง ที่ทำให้เกิดการยึดพื้นที่ ดินแดน ที่คาดว่าเป็น “แหล่งทองคำ” จำนวนถึง 1,143,000 ตารางกิโลเมตร ในอาณาบริเวณที่เรียกว่า “Matabeleland” และ “Mashonaland” ที่เคยถูกปกครองดูแลโดยกษัตริย์ “โลเบนกูลา” (Lobengula) มาเป็นของบริษัท หรือของตัวเอง จนกลายมาเป็นประเทศ “โรดิเซีย” ตามชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองจนได้ อีกทั้งยังไม่ใช่แต่เฉพาะนักธุรกิจชาวยิวอย่าง “อัลเฟรด เบธ” เท่านั้น บทบาท อำนาจ และอิทธิพลของ “เซซิล โรดส์” ยังได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ จากอภิมหานายธนาคารชาวยิวอย่าง “นาธาเนียล รอธส์ไชลด์” (Nathaniel Mayer Rothschild) ที่พร้อมให้กู้ยืมเงินจำนวนมากมายมหาศาลถึง 4,000,000 ปอนด์ เอามาซื้อหุ้นบริษัท “Barnato Diamond Mining Company” จนบริษัท “เดอ เบียร์ส” สามารถสร้างอำนาจ “ผูกขาด” วงการเพชรได้อย่างเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด... 

โดยบรรดาอภิมหานายธนาคารชาวยิวแห่งตระกูล “รอธส์ไชลด์” นี่เอง ที่ถือเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้ง “นิคมชาวยิว” ในดินแดนปาเลสไตน์ อันได้กลายมาเป็น “ประเทศอิสราเอล” ในทุกวันนี้ แถมยังเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการให้รัฐบาลอังกฤษยุคที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษเชื้อสายอิสราเอล อย่าง “นายเบนจามิน ดิสราเอลี” (Benjamin Disraeli) กู้ยืมเงินจำนวนประมาณ 4 ล้านปอนด์ เอามาซื้อหุ้นบริษัท “The Suez Canal Company” เพื่อเข้าไปดูแลกิจการเดินเรือในคลองสุเอซ จนทำให้การขนส่งน้ำมันของบริษัท “รอธส์ไชลด์” ในทะเลสาบแคสเปียน มายังภูมิภาคเอเชีย สามารถเติบโต แข่งขัน และต่อรองกับธุรกิจน้ำมันในอเมริกา อย่างตระกูล “ร็อคกี้เฟลเลอร์” (Rockefeller) จนท้ายที่สุด...ก็นำไปสู่การแต่งงานระหว่างผู้คนสองครอบครัว การควบรวมบริษัท ไปจนถึงความร่วมมือในการก่อตั้ง “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “Federal Reserve” ในเวลาต่อมานั่นเอง... 

อีกทั้งหลังจากที่ “เซซิล โรดส์” ได้เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปในปี ค.ศ. 1872 ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลเงิน-ทองและมรดกตกทอดทั้งหลายของนักธุรกิจชาวอังกฤษรายนี้ ก็คือ “ลีโอโปลด์ เดอ รอธส์ไชลด์” (Leopold de Rothschild) แห่งตระกูลรอธส์ไชลด์ อีกนั่นแหละ ในฐานะ 1 ใน 5 ของกลุ่มคนที่เรียกว่า “คนวงใน” (Inner Circle) ในสมาคมลับของ “เซซิล โรดส์” มาตั้งแต่แรก จนสืบทอดต่อมาถึง “ลอร์ด ลีโอเนล วอลเตอร์ รอธส์ไชลด์” (Lionel Walter Rothschild) ผู้นำขบวนการไซออนิสต์ ที่เป็นผู้นำเอาคำประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเมื่อยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 “นายอาเธอร์ บัลฟอร์” ที่เรียกๆ กันว่า “คำประกาศบัลฟอร์” (Balfour Declaration) ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงการสนับสนุนของรัฐบาลอังกฤษ ให้ก่อตั้ง “นิคมชาวยิว” หรือ “บ้านชาวยิว” ในดินแดนปาเลสไตน์ขึ้นมาจนได้... 

ด้วยเหตุนี้...แม้ว่า “เซซิล โรดส์” จะตายไปแล้วเกือบศตวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ได้ถึงแนวคิด โครงการ และแผนงานต่างๆ จะต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ตามไปด้วยแต่อย่างใด เพราะบรรดา “คนวงใน” และ “คนวงนอก” ในสมาคมลับของโรดส์ รวมไปถึงสมาคมฟรีเมสัน ตลอดจนบรรดาชาวไซออนิสต์ทั้งหลาย ฯลฯ ก็ยังคงอยู่ดี-มีสุข มีอำนาจและบทบาททั้งในวงการการเมือง การค้า การธุรกิจ การเงิน-การทอง ใน “ระดับโลก” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งเมื่อมีการส่งนักธุรกิจประเภทมือทอง-สมองเพชรแถมยังเป็นชาวยิวแท้ๆ ซะอีกด้วย เข้ามาแทนที่บทบาทของนักธุรกิจชาวอังกฤษอย่าง “เซซิล โรดส์” ในเวลาต่อมา นั่นคือนักธุรกิจที่ถือกำเนิดขึ้นมาในประเทศเยอรมนี ก่อนแปลงสัญชาติเป็นอังกฤษ และกลายมาเป็นชาวแอฟริกาใต้ในท้ายที่สุด แต่โดย “เชื้อชาติ” ก็ยังคงเป็นสายเลือดชาวยิวแบบทั้งแท่ง ทั้งด้าม ผู้มีนามกรว่า “เออร์เนสต์ ออพเพนไฮเมอร์” (Ernest Oppenheimer) ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ยิ่งระเบิดเถิดเทิงหนักขึ้นไปใหญ่!!!... 

เพราะไม่ใช่แค่สิ่งที่มีค่า มีราคา อย่างประเภท “เพชร” หรือ “ทองคำ” เท่านั้น ที่ถูกควบคุม ผูกขาด ถูกรวบเอาไว้ในมือของบรรดาผู้คนกลุ่มนี้ แนวนี้ แต่ยังแผ่ขยายรวมไปถึงบรรดาแร่ธาตุสำคัญๆ ในโลกใบนี้ ไม่ว่าเหล็ก ทองแดง ถ่านหิน นิเกิล แพลตตินัม ฯลฯ ไปจนถึง “น้ำมัน” อันเป็นเส้นเลือด สายเลือด ของธุรกิจแทบทุกชนิด ของประเทศแทบทุกประเทศ ที่พยายามเร่งปรับเนื้อ ปรับตัว ให้เป็นประเทศ “อุต-ส่าห์-หา-กรรม” หรือ “อุตสาหกรรม” ในโลกยุคใหม่ หรือยุคหลังสงครามโลกครั้ง 1 มาจนตราบเท่าทุกวันนี้... 

หรือทำให้ขอบเขต อำนาจและบทบาทอิทธิพลของอาณาบริเวณที่ถูกเรียกขานกันในนาม “อาณาจักรออพเพนไฮเมอร์” (Oppenheimer Empire) ถูกขยายไปยังดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก ไม่ว่าในแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป อเมริกาเหนือและละตินอเมริกา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้ง 5 ทวีป ชนิดแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “จักรวรรดิโลก” เอาเลยก็ว่าได้ อันเนื่องมาจากการ “ควบรวมกิจการ” ของบรรดาบรรษัทยักษ์ๆ ในแต่ละด้าน ภายใต้ “ระเบียบโลก” ที่ถูกเปิดกว้างเอาไว้ให้กับพลังอำนาจของบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลาย หรือทำให้ “รัฐบาล” หรือ “รัฐชาติ” ในประเทศต่างๆ ต้องกลายสภาพแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ศิลปินพื้นบ้าน” หรือ “ศิลปินท้องถิ่น” เอาเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งจะเป็นไง-มาไง คงต้องไปต่อวันสุดท้ายวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน....เฮ้ออ์อ์อ์ เหนื่อยย์ย์ย์...




กำลังโหลดความคิดเห็น