xs
xsm
sm
md
lg

บุรุษผู้คิดจะจัดตั้ง “รัฐบาลโลก” (2)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เซซิล จอห์น โรดส์
สำหรับ“เซซิล จอห์น โรดส์”หรือเรียกกันย่อๆว่า“เซซิล โรดส์”นั้น...จะเป็นชาวอังกฤษแท้หรือจะมีเลือดผสม“ชาวยิว”สอดแทรกมาด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็ยังคงเป็นถกเถียงอย่างชนิดไม่รู้จบ อันเนื่องมาจากโดยอำนาจและบารมีของบุคคลผู้นี้ถ้าหากไม่ได้มีอภิมหานักธุรกิจระดับโลกชาวยิว คอยประคองหน้า ประคองหลัง ก็อาจไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ระดับคิดจะครองโลก คิดจะตั้งรัฐบาลโลกได้อยู่แล้วแน่ๆ...

แต่เอาเป็นว่า...โดยประวัติอย่างเป็นทางการ“เซซิล โรดส์”เกิดและเติบโตขึ้นมาในประเทศอังกฤษล้วนๆ ณ เมืองเล็กๆที่เรียกกันว่า“Bishop’s Stortford”ห่างจากกรุงลอนดอนไปประมาณ30ไมล์ เมื่อวันที่5กรกฎาคม ค.ศ.1853 พ่อเป็นบาทหลวงชั้นพระราชาคณะ ชื่อว่า“ฟรานซิส วิลเลียม โรดส์”(Rev. Francis William Rhodes)แม่เป็นสุภาพสตรีผู้มีอันจะกิน ชื่อว่า“หลุยซา พีค็อก โรดส์”(Louisa Peacock Rhodes)เป็นภรรยาคนที่2ของบาทหลวงลูกดก ที่มีบุตร-ธิดารวมแล้วถึง11คน โดย“เซซิล โรดส์” เป็นคนที่6แต่เป็นลูกชายที่2ของครอบครัว ที่มีแต่ลูกผู้หญิงซะเป็นหลัก...

ตั้งแต่เกิดและระหว่างเติบโตขึ้นมา...โดยลักษณะอาการของเด็กชายชาวอังกฤษรายนี้ แทบไม่ได้ฉายแววแห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรอะไรมากมาย คือเป็นเด็ก“ขี้โรค”เป็นหอบหืดมาตั้งแต่เด็กๆ จนต้องลาออกจากโรงเรียน“Bishop’s Stotford Grammar School”มาเรียนกับพ่ออยู่ที่บ้าน แถมเมื่อโตๆขึ้นมาแล้ว ยังจัดอยู่ในประเภทพวก“เกสรอ่อนระทวย”หรือพวก“LGBT”อะไรทำนองนั้น และด้วยเหตุเพราะอาการหอบๆหืดๆนั่นเอง พ่อเลยคิดส่งให้ไปอยู่กับพี่ชายต่างมารดา คือ “เฮอร์เบิร์ต โรดส์”(Herbert Rhodes)ที่คิดไปปักหลักทำไร่ฝ้ายอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้ หรือในหุบเขา“Umkomazi”แคว้น “Natal”อันเป็นพื้นที่ปกครองของอังกฤษ หลังจากที่ได้ยึดมาจากอดีตจ้าวอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ ก่อนหน้านี้...

แต่การที่วงจรชีวิตได้พลิกผันจากประเทศอังกฤษไปยังดินแดนแอฟริกาใต้นี่เอง...ที่ทำให้เด็กวัยรุ่นชาวอังกฤษรายนี้สามารถเติบใหญ่ เติบกล้า กลายมาเป็นพ่อค้าเพชร และเจ้าของเหมืองเพชรในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากได้เกลี้ยกล่อมพี่ชายให้ย้ายตัวเองออกไปจากไร่ฝ้าย ที่ปลูกยังไงก็ปลูกไม่ค่อยจะขึ้น มาอยู่ในเมือง“Kimberly”เมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวาล(Val River)และแม่น้ำออเรนจ์(Orange River)ไปทางทิศตะวันออกประมาณ110กิโลเมตร หรืออยู่เลยเขตปกครองของอังกฤษออกไป โดยอาศัยสิ่งที่เรียนรู้จากการ“เรียนลัด”กับเพื่อนของพ่อ ที่เป็นนักธรณีวิทยาอยู่ในแอฟริกาใต้ นั่นก็คือการแยกแยะชั้นหิน ชั้นดิน และแร่ธาตุชนิดต่างๆ มาใช้ในการซื้อเพชร-ขายเพชร ฝึกอบรมให้คนงานไร่ฝ้ายของพี่ชาย ออกไปกว้านซื้อเพชรแต่ละเม็ดเอามาจำหน่าย ด้วยการอาศัยเงินทุนก้อนแรกจากน้าสาว จนกระทั่งอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาเพชรในยุโรปตกต่ำ จนต้นทุนแรงงานการขุดเหมืองเพชรในแอฟริกาใต้ สูงจนบรรดาเจ้าของเหมืองในแต่ละแห่ง ไม่มีสายป่านพอดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ต้องหันมาขายเหมืองแต่ละเหมืองให้กับ“ดีลเลอร์”หรือผู้รับซื้อเพชร อย่าง“เซซิล โรดส์” จนสามารถยกระดับตัวเองขึ้นเป็น“เจ้าของเหมืองเพชร”หลายแห่ง ขณะอายุ-อานามแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง...

อันนี้นี่แหละ...ที่กลายเป็นบันไดขั้นแรก ในการนำไปสู่ความคิด-ความอ่าน ความทะเยอะทะยานถึงขั้นคิดจะครองโลก หรือคิดตั้งรัฐบาลโลกในเวลาต่อมา โดยเฉพาะระหว่างที่ตัวเองปลีกตัวจากกิจการเหมืองเพชร หันมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และได้รับแรงฝัน แรงบันดาลใจ จากกวีและอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่าง“จอห์น รัสกิน”ผู้อยากจะเห็นพลโลกอยู่ดี-กินดี มีรายได้และมีอารยธรรมแบบเดียวกับบรรดา“ผู้ดีอังกฤษ”ทั้งหลาย อีกทั้งระหว่างที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ได้ถูกชักชวน เชื้อเชิญ ให้เข้าไปเป็นสมาชิกองค์กรลับอันโด่งดังในอังกฤษระยะนั้น คือองค์กร“ฟรีเมสัน”(Freemason)จนสามารถไต่เต้าเป็นถึงหัวหน้าองค์กรสาขาลอนดอนในเวลาต่อมา อันเป็นองค์กรที่มีบทบาท อิทธิพล แผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก สามารถครอบงำผู้ที่มีอำนาจทางการเมือง ธุรกิจ การทหาร ทั้งในยุโรปและอเมริกาอย่างยืดเยื้อยาวนาน แม้จนตราบเท่าทุกวันนี้เอาเลยก็ว่าได้...

และด้วยบรรดาสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของเหมืองเพชรชาวอังกฤษ อย่าง“เซซิล โรดส์”เกิดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ ถึงขั้นเขียนเอาไว้ในบันทึกความทรงจำที่รู้จักกันในนาม“คำสารภาพแห่งศรัทธา”(Confession of Faith)ไว้เลยว่า...“นี่คือภาระหน้าที่รับผิดชอบของเรา ที่จะต้องใช้ทุกๆโอกาสในการได้มาซึ่งดินแดนต่างๆในโลกนี้ เพราะดินแดนที่มากขึ้นนั้น ย่อมหมายถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นของเราทั้งหลาย ผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์แองโกล-แซกซอน อันย่อมหมายถึงการเพิ่มขึ้นของสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ทั้งปวงของมวลมนุษยชาติอีกด้วย เมื่อบรรดามวลมนุษย์โดยส่วนใหญ่ได้ซึมซับเอาความยิ่งใหญ่ของเราทั้งหลาย และนำไปแพร่กระจายยังโลกทั้งโลก โลกที่อยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ย่อมต้องเป็นโลกที่ปราศจากสงครามและความขัดแย้งอีกต่อไป...”

นี่...ต้องเรียกว่าออกอาการ“White Supremacy”หรือ “ชาตินิยมผิวขาว”มาตั้งแต่บัดนั้น ไม่ใช่แค่เพิ่งจะมาเอาเข่ากดคอชาวผิวดำจนขาดใจตายไปต่อหน้า-ต่อตา หรือเพิ่งจะไล่ถีบ ไล่กระทืบชาวผิวเหลือง หรือชาวเอเชีย เมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่แนวคิดในการครองโลก จัดตั้งรัฐบาลโลก โดยชาวผิวขาวหรือชาวแองโกล-แซกซอน ที่สุมหัวรวมตัวอยู่ในอังกฤษและอเมริกา หรือสองฟากฝั่งแอตแลนติก มันมีมาแบบเอาจริง-เอาจัง เอาเรื่อง-เอาราว มาตั้งแต่กว่าศตวรรษที่แล้ว โดยเด็กหนุ่มชาวอังกฤษอย่าง“เซซิล โรดส์”ผู้ไม่เพียงแต่ผงาดขึ้นเป็นหัวหน้าสมาคมลับ“ฟรีเมสัน”สาขากรุงลอนดอนเท่านั้น แต่ยังอาศัยอำนาจ อิทธิพล ความมั่งคั่งร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของเหมืองเพชรและเหมืองทองในเวลาต่อมา จัดตั้งสมาคมลับ(Secret Society)ของตัวเองขึ้นมารองรับซะอีกต่างหาก หรือสมาคมที่ถูกเรียกขานกันในหลายชื่อ หลายแบบ ไม่ว่า“The Secret Society of Cecil Rhodes” หรือ“The Dreams of Cecil Rhodes”หรือ “The Milner’s Kindergarten”หรือ “The Round Table Group” ที่อีกไม่นาน-ไม่ช้าก็เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในนาม“The Royal Institute of International Affairs”หรือ“RIIA”นั่นเอง อันเป็นสถาบันที่มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์กรที่มีลักษณะเดียวกันแต่ถูกจัดตั้งขึ้นในอเมริกา นั่นก็คือ“CFR”หรือ “Council on Foreign Relation”นั่นเอง...

โดยข้อเขียน ข้อความใน“คำสารภาพแห่งศรัทธา”เจ้าของธุรกิจเหมืองทอง เหมืองเพชร ชาวอังกฤษอย่าง“เซซิล โรดส์”ยังวางแผน วางโครงการเอาไว้ล่วงหน้าถึงขั้นว่า...“การแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิ(อังกฤษ) ให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลกนั้น ก็เพื่อดูแล บริหารจัดการ ให้วิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครอง มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต รวมไปถึงพลังงาน แรงงาน และการประกอบกิจการ การปกครอง โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวแองโกล-แซกซอน จะต้องแผ่กระจายไปจนครอบคลุมทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ไปจนถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเล็ม หุบเขาในลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส เกาะไซปรัสและเกาะครีต รวมทั้งในดินแดนอเมริกาใต้ทั้งหมด เกาะต่างๆในแปซิฟิก หมู่เกาะทั้งหลายในคาบสมุทรมาเลย์ แผ่นดินจีนและญี่ปุ่น โดยรวมเอาสหรัฐอเมริกาให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนเดียวกันกับจักรวรรดิ...”นี่...ต้องเรียกว่า“บ้า”กันมาตั้งแต่ก่อนยุค “โอมาบ้า” “ทรัมป์บ้า” “โจ ซึมเซา”ฯลฯ มาโดยตลอดนั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น