ถึงช่วง “สงกรานต์” ในแต่ละที..ก็เล่นเอาคนแก่ คนชรา อย่าง “ทับทิม พญาไท” แทบ “หัวใจวาย” เอาเลยถึงขั้นนั้น คือคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสาดน้ง สาดน้ำ ที่ออกจะเป็นเรื่อง “แสลง” สำหรับคนแก่อยู่แล้วแน่ๆ อีกทั้งรัฐบาลท่านก็ไม่อยากให้สาด ไม่อยากให้ฉีดน้ง ฉีดน้ำ ในช่วงยุคโควิดยังไม่ได้จางหายไปจากโลก แต่มันดันไปเกี่ยวกับเรื่องการขีดๆ-เขียนๆ การปั่นต้นฉบับ ส่งต้นฉบับให้กับสำนักข่าว สำนักพิมพ์ ที่ต้องหยุดชั่วคราวในช่วงสงกรานต์ ระดับที่ผู้ควบคุม ดูแลคอลัมน์แห่งนี้ ท่านกำชับ กำชา ให้ต้อง “ส่งต้นฉบับล่วงหน้า” ถึง 4 ตอนซ้อนๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้แทบต้องเปลี่ยนการหายใจทางปาก มาเป็นหายใจทางเหงือกกันแทนที่ คือแค่ขีดๆ-เขียนๆ ต้นฉบับในแบบวัน-ต่อ-วัน ก็แทบ...ตายแล้ว!!! ปั่นกันวันละ 2 ชิ้น 2 เรื่องเป็นอย่างน้อย ทั้งเรื่องในประเทศและนอกประเทศ เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน แต่เมื่อถูกเร่ง ถูกกระตุ้นให้ต้องส่งรวดเดียวถึง 4 ชิ้น 4 ตอน ก็แทบไม่รู้ว่าจะไปทะลุฟ้า มุดบาดาลลงไป ณ ที่ไหน จะไปควานหาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาพูดจาว่ากล่าว หรือมาแลกเปลี่ยนกันดี โดยเฉพาะเรื่องนอกบ้าน นอกเมือง นอกประเทศ ที่แต่ละสิ่งแต่ละอย่างมันยังคงกึกๆ กักๆ แบบประเภทชักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก อะไรทำนองนั้น ยังต้องรอคอย ลอยคอ ว่าใคร? จะเป็นผู้ “ลั่นกระสุนนัดแรก”ออกมากันแน่ หรือยังคงต้องตรึงกัน-ตรึงกันมา ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายคือฝ่าย “โลกอำนาจขั้วเดียว”กับฝ่าย “โลกหลายขั้วอำนาจ” หรือระหว่างมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก กับฝ่ายจีน-รัสเซีย-และอิหร่าน นั่นแหละสหาย!!!
ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า คงต้องหาทาง “ฉีก” หาทางแหวกกรอบย้อนกลับไปเอาเรื่องราวในอดีต ที่มันอาจพอๆ เข้ากับ “บรรยากาศ” ความเป็นไปในโลกนี้อยู่มั่ง ไม่มาก-ก็น้อย มานำเสนอกันแบบชนิด “4 ตอนรวด”นั่นก็คือเรื่องของบุรุษผู้คิดจะครองโลก หรือผู้ที่เคยคิดจะจัดตั้ง “รัฐบาลโลก”ให้อุบัติขึ้นมาแบบเป็นตัว เป็นตน เป็นเรื่อง เป็นราว ไม่ใช่เป็นแค่ความฝันๆ เพ้อๆ ของพวกนักอุดมการณ์ อุดมคติ พวกกะวง กวี อะไรประมาณนั้น ที่เคยฝันๆ กันมานานแล้ว ไม่ว่าประเภทนักกฎหมายชาวสเปน อย่าง “นายฟรานซิสโก เดอ วิคตอเรีย” (Francisco de Vitoria) ที่ฝันอยากจะเห็นโลกทั้งโลกใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน ภายใต้รัฐแห่งจินตนาการที่ถูกเรียกขานกันในนาม “Res Publica Totius Orbis” หรือ “สาธารณรัฐโลก” (Republic of the Whole World) อะไรประมาณนั้น หรือนักปรัชญาชาวเยอรมัน อย่าง “อิมมานูเอล คานต์”(Immanuel Kant) ที่ฝันอยากจะเห็น “รัฐบาลโลก”ปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กับ “สันติภาพชั่วกัลปาวสาน” (Perpetual Peace) ไปจนถึงกวีชาวอังกฤษ อย่าง “จอห์น รัสกิน” (John Ruskin) ที่อยากจะเห็นมวลมนุษย์ในโลกนี้ ถูกยกระดับและพัฒนา ไม่ว่าด้านรายได้ การศึกษา และวัฒนธรรม ให้เทียบเคียงหรือเทียบเท่ากับพวก “ผู้ดีอังกฤษ” จนอาจทำให้โลกทั้งโลก กลายเป็นโลกแบบ “อุตมรัฐ” หรือ “The Republic” ของเพลโต ไปโน่นเลย...ฯลฯ ฯลฯ...
แต่ผู้ที่สามารถทำให้ความเพ้อๆ ฝันๆ เหล่านี้...เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้ไม่น้อย ในยุคที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และแม้ว่าตัวเองจะเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงลงไปแล้ว เมื่อเกือบ 150 ปีที่แล้ว แต่บรรดาความคิด-ความอ่าน การสมคบคิด และการวางแผน เพื่อที่จะให้เกิด “รัฐบาลโลก” ขึ้นมาจริงๆ หรือโลกที่อยู่ภายใต้อำนาจของ “มหาอำนาจขั้วเดียว” ก็ยังถูกขับเคลื่อนถูกสานปณิธานและเจตนารมณ์ อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ มันถึงได้มีการเผชิญหน้า การปะทะขัดแย้งระหว่างพวกโลกหลายขั้วอำนาจ กับพวกโลกอำนาจขั้วเดียว อยู่ในทุกซีกทุกมุมของโลก ชนิดไม่ต่างไปจาก “สงครามเย็นยุคใหม่”อะไรทำนองนั้นและเผลอๆ...อาจกลายเป็น “สงครามร้อน”ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะเมื่อ “แนวคิด”ในลักษณะนี้ มันยังไม่สูญหายคลายจางไปจากโลก ยังคงถูกขับเคลื่อนและเดินหน้า โดยมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าจะในยุค “ทรัมป์บ้า”หรือยุค “โจ ซึมเซา” ก็แล้วแต่ ที่ไม่ได้ผิดแผก แตกต่างไปจากกันและกันเอาเลยแม้แต่น้อย...
บุรุษที่ว่านี้...ก็คงหนีไม่พ้นไปจากชาวอังกฤษ อย่าง “นายเซซิล จอห์น โรดส์” (Cecil John Rhodes) นั่นแหละทั่น!!! ผู้ที่เคยอาศัยอำนาจอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ ธุรกิจ ของบริษัทสัญชาติอังกฤษ และสัญชาติอเมริกา ครอบครองพื้นที่นับจำนวนล้านๆ ตารางกิโลเมตร ในแอฟริกาใต้ จนดินแดนเหล่านี้กลายมาเป็นประเทศโรดีเซียเหนือ โรดีเซียใต้ ตามชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง หรือประเทศ “ซิมบับเว”ที่สุดจะยากจนข้นแค้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ รวมไปถึงบางส่วนของบอตสวานา นาบิเบีย แซมเบีย แองโกลา ฯลฯ ที่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของบริษัทผูกขาดการค้าเพชร เหมืองเพชร อย่าง “เดอ เบียร์ส” (De Beers Mining Company) และบริษัทเหมืองทองคำอย่าง “บีเอสเอซี” (British South Africa Company-BSAC) ที่ตัวเองเป็นเจ้าของและเป็นประธานบริษัท จนทำให้ “จักรวรรดิอังกฤษ”ในช่วงระยะนั้น กลายเป็น “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”หรือกลายเป็นจักรวรรดิที่สามารถครอบครองดินแดนส่วนต่างๆ ของโลกทั้งโลก ได้ไม่น้อยกว่า 33,700,000 ตารางกิโลเมตร ควบคุม บังคับประชากรจำนวนไม่ต่ำกว่า 458 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรโลกในขณะนั้น ได้แบบชนิดเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด...
และแม้ว่า “จักรวรรดิอังกฤษ” ในทุกวันนี้...จะเสื่อมโทรมลงไปเยอะแล้ว กลายเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ตกแล้ว ตกเล่า หรือเสื่อมแล้ว เสื่อมเล่า แต่ยังไงๆ...ก็คงจะไป “ประมาท”ไว้ก่อนล่วงหน้าไม่น่าจะได้ เพราะหลังจากดิ้นรน กระเสือกกระสนออกมาจากสหภาพยุโรป หรือหลังจาก “Brexit” แล้วโดดไปเกาะแข้ง เกาะขา คุณพ่ออเมริกามาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” จนถึงยุค “โจ ซึมเซา” ในทุกวันนี้ ผู้นำอังกฤษอย่างนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ก็ได้พยายามปลุกปลอบใจบรรดาผู้ดีชาวอังกฤษทั้งหลาย ด้วยการออกมาป่าวประกาศเมื่อไม่นานมานี้ ว่าอังกฤษกำลังจะหวนกลับไปสู่ความเป็น “Global Britain”หรือสหราชอาณาจักรแห่งโลกทั้งโลก ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล หรือเป็นอังกฤษที่จะต้อง “ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่เกรียงไกร อย่างที่เคยมีมาในอดีตให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด”นี่ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ “นายกาวิน วิลเลียมสัน”(Gavin Williamson) ที่กำลังคิดขยายฐานทัพในแถบทะเลแคริบเบียน ตะวันออกไกล ไปจนถึงตะวันออกเฉียงใต้ คิดส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมาร่วมซ้อมรบกับอเมริกาในแถบทะเลจีนใต้ หรือคิดเพิ่ม “หัวรบนิวเคลียร์” จาก 180 หัวรบ ให้เพิ่มเป็น 260 หัวรบ ฯลฯ ฯลฯ ให้จงได้!!!
ด้วยเหตุนี้...การหวนกลับไป “เจาะเวลาหาอดีต” ไปลองศึกษาถึงความเป็นมา-เป็นไปของชาวอังกฤษ “ผู้คิดจะครองโลก” หรือ “ผู้คิดจะจัดตั้งรัฐบาลโลก” เมื่อช่วง 150 กว่าปีที่แล้ว อย่าง “นายเซซิล โรดส์” ในช่วงว่างๆ หรือในช่วงสงกรง สงกรานต์ คงไม่ถึงกับเป็นอะไรที่น่าเบื่อจนเกินไป อย่างน้อย...ก็น่าจะดีกว่าการสาดน้ง สาดน้ำ หรือกระทั่ง “สาดโคลน” ที่กำลังเริ่มๆ ขึ้นมามั่งแล้วในบ้านเราช่วงหลังๆ นี้ ถือซะว่า...เพื่อให้สอดคล้องกับคำพูด คำจา ของนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ชาวอเมริกันเชื้อสายสเปน อย่าง “นายจอร์จ ซานตายานา” (George Santayana) ที่เคยเอ่ยไว้เป็น “วาทะ” ที่ค่อนข้างเข้าท่ามิใช่น้อย เมื่อหลายสิบปีที่แล้วประมาณว่า... “A man’s feet must be planted in his country, but his eyes should survey the world.” หรือ “เท้าของคน...ควรปักอยู่ในประเทศของเขา แต่ดวงตาควรสำรวจดูโลก”อะไรประมาณนั้น...