หลังจาก “เซซิล โรดส์” ซี้ม่องเซ็กไปได้สักพัก หรือก่อนหน้าที่ “สงครามโลกครั้งที่ 1” จะอุบัติขึ้นมาไม่นานนัก เคยมีผู้ที่คิดลุกขึ้นมาท้าทายการ “ผูกขาดตลาดเพชร” ของบริษัท “เดอ เบียร์ส” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการพอสมควร อันเนื่องมาจากการค้นพบ “แหล่งเพชร” เม็ดเล็กๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งหาดทรายความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร และลึกเข้าไปถึง 100 กิโลเมตรในทะเลทราย “นามิเบีย” อันเป็นพื้นที่ยึดครองของ “จักรวรรดิเยอรมัน” ในขณะนั้น...
ด้วยปริมาณเพชรที่มีจำนวนมากมายมหาศาล สามารถระบายออกสู่ตลาดได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 กะรัต หรือปีละนับเป็นล้านๆ กะรัตนี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลเยอรมนีนอกจากจะป่าวประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น “เขตหวงห้าม” ยังได้จัดตั้งบริษัทชื่อว่า “Deutsche Diamanten Gesellschaft” หรือ “German Diamond Corporation” ขึ้นมาควบคุมให้สิทธิ ให้สัมปทานแก่บรรดานักธุรกิจลงทุนชาวเยอรมัน เข้ามาผลิตเพชร ซื้อเพชร-ขายเพชร และส่งไปตีตลาดเพชรในเบลเยียม จนทำให้ตลาดเพชร ภายใต้การควบคุมของ “เดอ เบียร์ส” แทบระส่ำระสายเอาเลยก็ว่าได้...
แต่ก็ด้วยการบริหารจัดการของ “เออร์เนสต์ ออพเพนไฮเมอร์” ที่เกิดขึ้นมาในเยอรมนี แล้วไปโตในอังกฤษ แต่กลับมาเป็นใหญ่-เป็นโตในแอฟริกาใต้ คือได้ยกระดับฐานะตัวเองจากการเป็นตัวแทนบริษัทรับซื้อเพชรในกรุงลอนดอน หรือบริษัท “Dunkelsbuhler” ขึ้นเป็น “นายกเทศมนตรี” แห่งนคร Kimberly ในแอฟริกาใต้ และได้จัดตั้งกองทหารที่เรียกขานในนาม “กรมทหารแห่งคิมเบอร์ลี” ไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยเหตุผลกลใดก็ยากจะอธิบาย แต่ครั้นเมื่อ “สงครามโลกครั้งที่ 1” ได้อุบัติขึ้นมาด้วยการที่แอฟริกาใต้หันไปสนับสนุนอังกฤษเพื่อสู้กับเยอรมนีนั่นเอง “กรมทหารแห่งคิมเบอร์ลี” ของ “เออร์เนสต์ ออพเพนไฮเมอร์” ก็เลยบุกเข้ายึดหาดทรายนามิเบียที่เต็มไปด้วยเพชรเอาไว้ทั้งแถบ ก่อนอาศัยความเป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิดเจ๊าะแจ๊ะเจรจา ให้บรรดานักธุรกิจชาวเยอรมันทั้งหลาย หันไป “ขายหุ้น” ให้กับนักธุรกิจในอเมริกา อย่าง “เจ.พี. มอร์แกน” (J. Pierpont Morgan) เอเยนต์รายใหญ่ของ “ตระกูลรอธส์ไชลด์” ในอเมริกา ในราคาที่ “ถูกเป็นขี้” ดีกว่าปล่อยให้รัฐบาลอังกฤษยึดเอาเป็นของตัวเองแบบดื้อๆ ด้านๆ...
โดยได้ตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า “AAC” หรือ “Anglo-American Corporation of South Africa” ขึ้นมารองรับการซื้อ-ขายดังกล่าว ก่อนที่จะนำเอาหุ้นเหล่านี้เข้าไปเป็นสินทรัพย์ในการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท “เดอ เบียรส์” หรือทำให้เกิดการ “ควบรวมกิจการ” ระหว่างบริษัท “เดอ เบียร์ส” สัญชาติอังกฤษ กับบริษัท “AAC” สัญชาติอเมริกา แบบถือหุ้นไขว้กันไปไขว้กันมา สลับไป-สลับมา แม้แต่คณะผู้บริหารของบริษัททั้งสองก็ไขว้กันไป-ไขว้กันมา สลับไป-สลับมา หรือถือเป็นคนกลุ่มเดียวกันไปด้วยกันทั้งสิ้น ที่ไม่เพียงแต่สามารถขจัดผู้ที่คิดทำลายการผูกขาดตลาดเพชรในโลกแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังสยายขา สยายปีก ออกไปผูกขาดการผลิตแร่ธาตุต่างๆ ในระดับทั่วทั้งโลก หรือยกฐานะขึ้นเป็น “บรรษัทเหมืองข้ามชาติ” (Multinational Mining Company) ทั้งทองคำ ทองแดง เหล็ก นิเกิล ถ่านหิน แพลตตินัม ฯลฯ พร้อมๆกับที่บริษัทน้ำมันสัญชาติอังกฤษ อย่างบริษัท “รอยัล ดัตช์ เชลล์” และ “บีพี” ได้หันไปเชื้อเชิญให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกา อย่างบริษัท “เอ็กซอน สแตนดาร์ด” บริษัท “โมบิล” “เชฟรอน” และ “เท็กซาโก” ฯลฯ เข้ามาทำข้อตกลง “แบ่งเค้ก” หรือแยกย้ายเข้าไปควบคุม “แหล่งน้ำมัน” ในตะวันออกกลาง จนต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของ “เจ็ดนางยักษ์” (Seven Sister) ในเวลาต่อมา หรือหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นเอง...
ดังนั้น...หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การสุมหัว รวมตัว การควบรวมกิจการระหว่างบรรดาชาวแองโกล-แซกซอนในอังกฤษและอเมริกา หรือสองฟากฝั่งแอตแลนติก จึงเป็นไปอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการมาตั้งแต่นั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลาย ที่สามารถกระชับการ “ผูกขาด” แหล่งวัตถุดิบและแร่ธาตุสำคัญต่างๆ เอาไว้ในมือ สามารถแลกเปลี่ยนแนวคิดและนโยบายในการยึดครองพื้นที่ต่างๆ ในแต่ละซีกโลก ผ่านทางสถาบันศึกษา ค้นคว้าและวิจัยอย่าง “RIIA” แห่งอังกฤษ และ “CFR” แห่งอเมริกาเท่านั้น แต่ยังได้ร่วมมือก่อกำเนิดองค์กรระหว่างประเทศที่ช่วยควบคุมดูแล และพัฒนาสิ่งต่างๆ ไปในแนวทางที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าการก่อตั้ง “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ “IMF” (International Monetary Fund) หลังจากการกำหนดระเบียบ กติกา ทางการเงินที่เรียกๆกันว่า “ระบบเบรตตันวูดส์” (The Bretton Woods System) ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1944 ยังได้ก่อตั้งองค์กรที่ใช้ชื่อในช่วงแรกๆ ว่า “International Bank of Reconstruction and Development” หรือ “IBRD” ที่ในเวลาต่อมาได้ปรับสภาพให้เรียกง่ายๆ ขึ้นมาหน่อย ว่า “World Bank” หรือ “ธนาคารโลก” นั่นเอง...
สรุปง่ายๆ ว่า...ความพยายามหลอมรวมระหว่างบรรดาชาวแองโกล-แซกซอน ในสองฟากฝั่งแอตแลนติก หรือระหว่างอังกฤษกับอเมริกานั้น มันเป็นเรื่องที่มีมา เป็นมานับกว่าศตวรรษ หรือประมาณ 150 ปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก หรือเป็นปกติธรรมดาเอาเลยก็ว่าได้ ที่อดีตจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ซึ่งหนีไม่พ้นต้องเสื่อมๆ โทรมๆ ลงมาตามลำดับ เลยต้องหันไปเกาะแข้ง เกาะขา หันไปเป็นพันธมิตรแบบชนิดเคียงบ่า-เคียงไหล่ กับจักรวรรดิรายใหม่ ที่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาแทนที่ อย่าง “จักรวรรดิอเมริกา” ในแทบทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี แม้จะถูกด่า ถูกว่า ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่ “สุนัขพูเดิล” ของอเมริกา ในครั้งที่ร่วมบุกประเทศอิรัก ตามข้อกล่าวหาที่ได้รับการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็นการ “โกหก” แบบดื้อๆ และด้านๆ หรือในยุคอดีตนายกรัฐมนตรี “โทนี แบลร์” ผู้คลั่งไคล้ หลงใหล ใน “ลัทธิเสรีนิยมใหม่” หรือ “ประชาธิปไตยเสรี” ตามแบบฉบับตะวันตกมาโดยตลอด...
มาจนถึงยุคของอดีตนายกฯ “เทเรซา เมย์” ที่พยายามปลุกจิต ปลุกใจชาวอังกฤษ ระหว่างที่คิดจะสะบัดตูด ออกจากความเป็น “สหภาพยุโรป” ด้วยการป่าวประกาศถึงการหวนกลับไปสู่ความเป็น “Global Britain” ขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อมาถึงยุคของนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง อย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” คำปลุกปลอบใจที่ว่านี้ จึงถูกนำมาเล่าขานกันใหม่ ชนิดแทบถือเป็น “แนวนโยบาย” หรือเป็น “ยุทธศาสตร์ชาติ” นับจากปี ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป การเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธ หรืองบกลาโหม ภายในระยะ 4 ปีข้างหน้า ไปอีก 24,000 ล้านปอนด์ หรือ 9.64 แสนล้านบาท เพื่อที่จะทำให้กองทัพเรืออังกฤษกลับมาเป็นมหาอำนาจในยุโรปได้อีกครั้ง ด้วยแสนยานุภาพของเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ เรือฟรีเกต และเรือรบรุ่นใหม่ ไปจนถึงการเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์จาก 180 หัวรบ ขึ้นเป็น 260 หัวรบในอีกไม่นานนับจากนี้...
แต่ก็นั่นแหละ...ท่ามกลางความพยายามจะกลับไปสู่อดีต โดยอาศัยการเกาะแข้ง เกาะขามหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาสนับสนุนให้โลกทั้งโลก ยอมรับสภาพต่อความเป็น “โลกภายใต้มหาอำนาจขั้วเดียว” ไม่ว่าทางการเมือง การทหาร แต่ในแง่ของ “การสาธารณสุข” แล้ว แม้ว่าบรรดาพวก “ผู้ดีอังกฤษ” จะตายโหง ตายห่า ไปเพราะเชื้อโควิดไปแล้วถึง 53,000 คน ติดเชื้อไปแล้วกว่า 1.45 ล้านคน ไล่ตามหลังอเมริกามาติดๆ แต่งบประมาณที่เอาไว้สู้กับเชื้อโรคดังกล่าว เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แถมความขัดแย้ง แตกแยก ภายในความเป็น “สหราชอาณาจักร” ไม่ว่าสกอตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ ก็กำลังอาจทำให้อดีตจักรวรรดินิยมรายนี้ ต้องกลายสภาพไปเป็น “รัฐล้มเหลว” หรือ “Fail State” ตามคำทำนาย ตามคำคาดการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ อย่าง “นายกอร์ดอน บราวน์” เอาเลยก็ไม่แน่!!!