xs
xsm
sm
md
lg

เมื่ออเมริกาคิดจะล้มโครงการ “BRI”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน
อย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...ฉายา “โจ ซึมเซา” หรือ “Sleepy Joe” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ น่าจะไม่ได้มาเพราะโชคช่วยโดยเด็ดขาด!!! เพราะโดยลักษณะอาการที่หนักไปทางง่วงเหงา หาวว์ว์ว์นอน ขาดสเตียรอยด์ จำอะไรไม่ค่อยจะถูก ไม่ค่อยจะได้ แม้กระทั่งรัฐมนตรีกลาโหมที่ตัวเองตั้งขึ้นมากะมือ ก็ยังดันลืมชื่อเสียงเรียงนามเอาง่ายๆ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่นับวันจะได้รับการพิสูจน์ทราบ ได้รับการยืนยัน ยืนกราน อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...

อย่างเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน...ก็เอาอีกแล้ว ด้วยความมั่นอก-มั่นใจ ภูมิอก-ภูมิใจ หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ผู้นำอเมริการายใหม่ “ผู้เฒ่าโจ” ก็ได้ออกมาเปิดเผยกับสาธารณชนแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าได้ยกหูโทรศัพท์ไปเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับผู้นำอังกฤษ นายกรัฐมนตรี “บอริส จอห์นสัน” ด้วยการนำเสนอแนวคิดและโครงการ ที่คาดๆเอาไว้ว่าสามารถหยุดยั้งการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ของพญามังกรจีน ได้อย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ นั่นก็คือการหาทางรวบรวมบรรดาประเทศ “พันธมิตรประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ให้ร่วมมือ-ร่วมใจ “ลด-ละ-เลิก” หรือปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับอภิมหาโครงการ “BRI” หรือ “Belt and Road Initiative” ของจีน แล้วหันมาสร้าง “ทางเลือกใหม่ๆ” ให้กับโลกทั้งโลก ด้วยการลงทุนก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแข่งกับจีน แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกันอะไรประมาณนั้น...

หรือ... “ผมได้เสนอว่า...เราควรที่จะมีแก่นสาระที่แน่นอน มีความริเริ่มในแบบเดียวกัน ที่ก่อเกิดขึ้นมาจากบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เพื่อช่วยเหลือประชาคมทั่วโลกที่ต้องการความช่วยเหลือ (ด้านสาธารณูปโภค) แบบเป็นจริง เป็นจัง” โดยเริ่มจากตัวอเมริกาเอง ที่คิดจะควักเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในการปลุกกระตุ้นการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคทั่วประเทศ การประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นคอมพิวเตอร์ควันตัม ปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงเทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ โน่นเลย รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชนในสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย เพื่อแข่งขันกับประเทศเผด็จการอย่างจีน ไม่ให้มีโอกาสเลยหน้า เลยตา ประมุขโลกอย่างสหรัฐฯ ได้เป็นอันขาด...

คืออันนี้...ถึงแม้ดูเก๋ ดูเท่ หรือดูดีเพียงใดก็ตามที แต่มันออกจะ “ช้าไปต๋อย” หรือออกจะ “โจ เชื่องช้า” อย่างมิอาจปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด เพราะการเพิ่งคิดจะตื่นขึ้นมาเพื่อแข่งกับจีนในเรื่องราวเหล่านี้ หรือหลังจากโครงการ “BRI” ของจีนได้เดินหน้าเดินเครื่องมาไม่ต่ำกว่า 8 ปีเข้าไปแล้วเป็นอย่างน้อย นับจากประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ได้ป่าวประกาศแผนการ โครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 จนกระทั่งบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตยก็แล้วแต่ ไม่น้อยไปกว่า 100 ประเทศ ได้ร่วมมือ ได้ตกลงเซ็นสัญญากับโครงการ “BRI” ของจีนไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือสร้างทางรถไฟ ท่าเรือ ถนนไฮเวย์ ท่อขนส่งพลังงาน ฯลฯ ไปจนอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย หรือถ้าว่ากันตามตัวเลข สถิติขององค์กรด้านข้อมูลตลาดการเงินและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกอย่าง “Refinitiv” เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ความร่วมมือที่บรรดาประเทศต่างๆ มีต่อแนวคิดเรื่อง “BRI” ของจีนนั้น ได้ก่อให้เกิดโครงการต่างๆ ขึ้นมาแล้วไม่น้อยไปกว่า 2,600 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์...

พูดง่ายๆ ว่า...นับจากผู้นำจีนที่เต็มไปด้วยสเตียรอยด์อัดแน่นอยู่ภายในร่างกายมาโดยตลอด ได้เดินหน้าโครงการ “BRI” มาอย่างเป็นขั้นตอนและตามลำดับ พญามังกรจีนก็สามารถลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก ได้อย่างชนิดยากที่จะหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก ไปจนแม้แต่ยุโรปตะวันตกก็ถูก “เชือก BRI” รัดขา รัดคอ ระดับแทบหายใจไม่ออก ดิ้นรนต่อไปแทบไม่ได้ แถมยังทะลุไปถึงละตินอเมริกา และกำลังเลยไปถึงแถบภูมิภาคอาร์กติกโน่นเลย ล่าสุด...เห็นว่าเพิ่งไปเซ็นสัญญาข้อตกลงทางการค้า การลงทุน และการอะไรต่อมิอะไรกับคู่กัดของอเมริกา อย่างอิหร่าน ยาวไกลไปถึงระดับ 25 ปี ชนิดถึงกับทำให้ทูตอิหร่านประจำบราซิล “นายHossein Qariri” ถึงขั้นสรุปว่า...เป็นความร่วมมือที่จะนำไปสู่ “การเปลี่ยนระเบียบโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ความพยายาม “แข่งขัน” กับจีนในเรื่องทำนองนี้...นอกจากถือว่า “ช้าไป” แถมยังแทบไม่ได้ “มีอะไรใหม่ๆ” เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะอันที่จริงก่อนหน้าที่ “โจ ซึมเซา” จะออกมาง่วงเหงา หาวนอน ในเรื่องราวดังกล่าว ในช่วงปลายๆ ของยุค “ทรัมป์บ้า” ณ เวทีประชุม “Indo-Pacific Business Forum” ที่กรุงเทพฯ บ้านเรานี่เอง รัฐบาลอเมริกัน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ก็เคยพยายามลอกแบบ เลียนแบบ “BRI” ของจีน ด้วยการนำเสนอโครงการที่เรียกว่า “Blue Dot Network Initiative” หรือ “BDN” เอาไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2019 มาแล้ว คือพยายามผลักดันให้ธนาคารอเมริกัน อย่าง “US International Development Finance” ธนาคารญี่ปุ่น อย่าง “Japan Bank for International Cooperation” และหน่วยงานด้านการค้าและกิจการต่างประเทศออสเตรเลีย หรือ “Department of Foreign Affairs and Trade” ร่วมกันทุ่มเงิน ทุ่มทอง เพื่อเสนอโครงการสร้างถนน ท่าเรือ สะพาน ฯลฯ แข่งกับประเทศจีนภายในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก...

แต่ก็นั่นแหละ “BDN” ของอเมริกาและพวก มันออกจะจำกัด จำเขี่ย อยู่แต่แค่เฉพาะภายในภูมิภาคใด ภูมิภาคหนึ่งเท่านั้น ต่างไปจาก “BRI” ของจีนที่ลากเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน ใครต่อใครไปแทบจะทั่วทั้งโลกมานานแล้ว มันจึงไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง หรือไม่อาจขัดขวางและสกัดกั้น การผงาดขึ้นมามีบทบาทของจีนได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล ยิ่งโดยเฉพาะถ้าต้องนำเอาความเป็น “ประชาธิปไตย” ตามมาตรฐานตะวันตก หรือมาตรฐานอเมริกา มาเป็นข้อผูกมัด ผูกพันด้วยแล้ว โอกาสที่มันจะไปไกล ไปโลด ก็ยิ่งลำบากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ความพยายามทุ่มเทเงินทองระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูบูรณะสาธารณูปโภคภายในประเทศของผู้นำประเทศรายใหม่ อย่าง “โจ ซึมเซา” ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความ “เห็นควรด้วย” ภายในประเทศอเมริกาไปซะทั้งหมด ยังหนีไม่พ้นต้องถกเถียง ต้องดุด่า ว่ากล่าว กันอีกเยอะ โดยเฉพาะเมื่อความเป็น “เอกภาพ” ภายในอเมริกาทุกวันนี้ ออกจะเป็นอะไรที่หายาก หาเย็นยิ่งเข้าไปทุกที แถมระบบ “เศรษฐกิจอเมริกา” แทบทั้งระบบ ยังเต็มไปด้วยปัญหา ยากที่จะแก้ไข เยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ต่างอะไรไปจากบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย...

กระทั่งประเทศพันธมิตรที่เคียงบ่า-เคียงไหล่กับคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด อย่าง “สุนัขพูเดิลอังกฤษ” ก็ตาม แม้เพิ่งจะได้รับข้อเสนอจากผู้นำอเมริกาให้ร่วมกันหาทางสกัดกั้นจีนด้วยกรรมวิธีดังกล่าว แต่การร่วมมือกันในลักษณะเช่นนี้ หนีไม่พ้นต้อง “ตอบคำถาม 3 ข้อ” อย่างที่อดีตทูตจีนประจำอังกฤษ “นายLiu Xiaoming” เคยตั้งคำถามเอาไว้กับชาวอังกฤษผ่านรายการโทรทัศน์ “BBC” เมื่อ 5-6 ปีที่แล้วนั่นแหละว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว...คุณมีเงินหรือเปล่า? สองคุณมีเทคโนโลยีหรือเปล่า? และสามคุณมีผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า? คือถ้าหากยังไม่ได้ตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในมือ ประเทศทั้งประเทศยังคงบ่จี๊ การเติบโตทางเศรษฐกิจยังถอยหน้า-ถอยหลัง ไม่รู้ว่าจะโตหรือจะตายกันตอนไหน เมื่อไหร่ ผู้คนยังติดโควิดแบบงอมๆ แงมๆ แถมความเป็น “ประชาธิปไตย” ไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ...ยังอาจนำไปสู่ความเป็น “รัฐล้มเหลว” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล อย่างที่อดีตนายกฯ อังกฤษ เคยออกมาทำนายทายทัก เอาไว้ก่อนหน้านี้...

ดังนั้น...การร่วมมือ-ร่วมใจของบรรดาประเทศ “หุ้นส่วนประชาธิปไตย” ที่ถูกตั้งความหวังไว้สูงเอามากๆ โดยผู้นำรายใหม่ของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา หรือโดย “ผู้เฒ่าโจ” จึงเป็นอะไรที่หนักไปทางน่าง่วงเหงา หาวนอนซะมากกว่า ที่จะก่อให้เกิดความคึกคัก ความกระเหี้ยนกระหือรือ จนอาจนำมาซึ่งความเป็นจริง-เป็นจัง เป็นเรื่อง-เป็นราว ได้จริงๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น