กองทัพพม่ายังคงรักษาระดับความโหดเหี้ยมยังไม่ยอมให้เสียราคาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ถล่มยิงประชาชนในเมืองพะโคหรือหงสาวดี เสียชีวิตมากกว่า 700 ราย จัดได้ว่าเป็นการทำยอดได้สูงสุดอีกวันหนึ่ง โดยไม่แยแสว่าประชาคมโลกจะมองอย่างไร
ผู้นำพม่าเริ่มจะออกลายให้เห็นแล้วด้วยคำอ้างว่าการเลือกตั้งอาจจะเลื่อนไปเป็นระยะเวลา 2 ปีเท่ากับว่าเป็นการผิดคำมั่นที่อ้างว่าจะอยู่ในอำนาจเพียงแค่ 1 ปี
ข้ออ้างในการเลื่อนเลือกตั้งก็คือความไม่สงบในประเทศอันเกิดจากการรวมตัวประท้วงของประชาชนทั่วประเทศ หลังจากการรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์
พฤติกรรมของกองทัพพม่า ตอกย้ำให้เห็นอีกว่าข้ออ้างในการรัฐประหารเพราะมีการโกงเลือกตั้งนั้นไร้เหตุผล ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เจตนาแท้จริงคือการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายต่างหาก
และความต้องการที่จะอยู่ในอำนาจก็เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์จากธุรกิจครอบคลุมทุกด้านซึ่งมีมูลค่ามหาศาล และมีผลตอบแทนสำหรับผู้นำกองทัพและเครือข่ายครอบครัวมายาวนาน เป็นสิ่งที่จะปล่อยให้ฝ่ายพลเรือนเข้ามาควบคุมไม่ได้
ยิ่งประชาคมโลกและประเทศตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรกองทัพพม่าและผู้นำอย่างไรก็ดูเหมือนจะยังไม่เป็นผลกระทบต่อคณะเผด็จการทหารพม่า เพราะเชื่อมั่นว่าจะยืนหยัดต่อแรงกดดันจากนานาประเทศได้เพราะมีประสบการณ์มากกว่า 50 ปี
คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติยังคงหาทางจัดการกับปัญหาและวิกฤตในพม่าอยู่ ในช่วงนี้มีการประเมินกันว่าสภาพที่เป็นอยู่ทำให้ประเทศพม่าหมิ่นเหม่กับการเป็นรัฐล้มเหลวแล้ว และจะเป็นสภาวะที่ไม่สามารถปกครองได้
การสังหารโหดที่เมืองพะโคครั้งนี้ชาวบ้านที่หนีรอดชีวิตมาได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เป็นการยิงไม่เลือก ยิงเพื่อสังหารเอาให้ตายเมื่อตายแล้วเข้าไปลากศพเหยื่อกระสุนขึ้นรถออกไปโดยไม่ยอมให้ประชาชนหรือญาติของผู้ตายได้เก็บศพ
ชาวบ้านยังบอกว่าทหารพม่ากราดยิงไปทั่ว เห็นอะไรเคลื่อนไหวก็ยิง ยังไม่คำนึงว่าเหยื่อจะเป็นเด็กหรือกลุ่มคนอายุเท่าไหร่เพราะเจตนาคือการฆ่าอย่างเดียว
จากพฤติกรรม เท่ากับว่ากองทัพพม่าเห็นประชาชนเป็นศัตรูของผู้นำประเทศคณะรัฐประหารไปแล้ว ซึ่งอาจจะไม่มีหนทางเจรจาข้อตกลงเพื่อความสงบ
นอกจากการเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานีแล้วพฤติกรรมโหดต่างๆ ของกองทัพพม่าก็คือการจับกุมบรรดาแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุขไปคุมขังเพื่อป้องกันไม่ให้ช่วยเหลือเหยื่อกระสุนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้
นอกจากนั้นยังบุกเข้าไปในอาคารบ้านเรือนเพื่อรื้อจานดาวเทียมที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านออกไป เพื่อตัดขาดการสื่อสารที่ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข่าวสารและสื่อสารกับโลกภายนอก นี่เป็นสัญญาณให้คนพม่าได้รับรู้ว่าพร้อมจะปิดประเทศอีกรอบหนึ่ง
การสังหารหมู่ในเมืองหงสาวดี กลุ่มผู้รอดชีวิตเล่าว่ากองทัพพม่าใช้อาวุธหนักทุกอย่างยิงระดมเป็นการฆ่าเพื่อหวังผลด้านความหวาดกลัวไม่ให้มารวมตัวชุมนุมประท้วงอีก เพราะถือว่าเป็นการก่อความไม่สงบและเป็นภัยต่อความมั่นคง
คำว่าความเมตตาปรานีและมนุษยธรรมคงไม่มีอยู่ในจิตใจทหารพม่า ซึ่งได้รับการฝึกฝนอบรมให้เกิดความรู้สึกฝังอยู่ในสมองและจิตสำนึกว่ากองทัพมีสิทธิ์ และมีอำนาจเหนือประชาชนจะทำอะไรก็ได้ ถ้าถูกมองว่าเป็นคำสั่งเพื่อรักษาความมั่นคงของผู้นำ
ประชาชนเคยถามทหารพม่าดังๆ ว่าทำไมถึงนำอาวุธที่เป็นเงินภาษีประชาชนส่วนหนึ่งเสียให้ไปเอามาสังหารประชาชนเพื่อความอยู่รอดและความมั่งคั่งของหัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งนำโดยนายพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ที่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด
ยอดผู้เสียชีวิตตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมามีมากกว่า 600 รายและถ้าอัตราการฆ่ายังเป็นอยู่อย่างนี้ต่อกลุ่มผู้ประท้วงตัวเลขคงจะถึง 1,000 รายในอีกไม่ช้าเพราะยังไม่มีทีท่าว่าประชาชนจะยอมสยบให้กับอำนาจเผด็จการ
ในบรรดาผู้เสียชีวิตมีทั้งเด็กเกือบ 50 ราย พลจัตวา ซอ มิน ตุน โฆษกกองทัพพม่า อ้างว่าไม่เป็นความจริงแม้จะมีภาพปรากฏเป็นหลักฐานให้เห็น และยังประกาศอย่างโอหังว่ากองทัพพม่าจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
พลจัตวา ซอ มิน ตุน ยังพูดจาเชิงโอหังลำพองอำนาจอีกว่าถ้านายพลอองซานยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ก็คงจะด่าลูกหลานชาวพม่าว่าช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร ซึ่งเป็นการดูถูกเหยียดหยามคนชาติเดียวกันอย่างชัดเจน
ทูตพม่าอยู่ในต่างประเทศเรียกร้องให้สหประชาชาติเพิ่มมาตรการกดดันกองทัพพม่าเพิ่มเช่น การสั่งห้ามขายอาวุธให้กองทัพพม่า การสั่งห้ามบินในบางพื้นที่ เป็นต้น
ภาพที่ปรากฏจะเห็นว่าประชาชนเริ่มจะจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับกองทัพพม่าแต่มีเพียงอาวุธปืนเถื่อนซึ่งไร้สมรรถนะในการสังหาร แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าประชาชนพร้อมจะสู้ทุกวิธีแม้จะเป็นสงครามกลางเมือง
เมื่อถึงเวลานั้นย่อมมีโอกาสได้เห็นกองทัพของชาติพันธุ์ต่างๆ เข้าร่วมรบด้วยกับประชาชนเพื่อเล่นงานกองทัพพม่า ซึ่งยังคงความแข็งแกร่งยากที่จะจัดการได้โดยง่ายเพราะมีความพร้อมด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกด้าน
และที่สำคัญ ยังไม่มีร่องรอยของความร้าวฉานในบรรดากองทัพพม่า ซึ่งยังคงจงรักภักดีต่อผู้นำซึ่งจ่ายเงินทองและผลประโยชน์ปรนเปรอนายทหารผู้คุมกำลังทุกระดับ
ชะตากรรมของประชาชนพม่าและประเทศอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้ง และยังไร้ทางออกโดยที่นานาประเทศยังไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่ในการจัดการวิกฤตครั้งนี้