คงต้องขออนุญาตเปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องของ “โจ สเตียรอยด์” ก็แล้วกัน!!! คือชักไม่ได้ออกลักษณะอาการแบบชนิด “โจ ซึมเซา” ต่อไปอีกแล้ว สำหรับประธานาธิบดีรายใหม่ของสหรัฐอเมริกา ระหว่างที่ไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ไปพูดจาปราศรัย ณ ศูนย์สหภาพแรงงานช่างไม้ ที่กรุงพิตส์เบิร์ก เมื่อช่วงวันพุธที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา คือออกอาการคึกๆ คักๆ แบบประเภทเพิ่งผ่านการกินยาม้า ผ่านการฉีดสารเคมีเข้าไปกระตุ้นอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย เมื่อได้จังหวะออกมาพูดถึง กล่าวถึง “แผนปฏิรูปการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน”ของประเทศ ภายในช่วงอีก 15 ปีข้างหน้า...
เรียกว่า...อะไรต่อมิอะไรในการพูดจาปราศรัยคราวนี้ ช่างน่าตื่นเต้ลล์ล์ล์ น่าตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกิน สำหรับการใช้เงินลงทุนจำนวนมากมายมหาศาลไม่น้อยกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ กี่บาท-กี่สตางค์ของบ้านเรา คงต้องเอา 30 บาทกว่าๆ ไปคูณเอาเองก็แล้วกัน ในการปรับเปลี่ยน ปรับปรุง ถนน สะพาน ท่อระบายน้ำ ระบบขนส่งมวลชน ไปยันถึงการประดิษฐ์คิดค้น ยกระดับพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การปรับเปลี่ยนระบบการใช้ การบริโภค พลังงานฟอสซิลให้กลายมาเป็นพลังงานสะอาด ฯลฯ ฯลฯ ภายในประเทศอเมริกา นับแต่บัดนี้ไปจนถึงอีก 15 ปีข้างหน้า อันจะส่งผลให้บรรดาอเมริกันชน ที่กำลังตกงาน ว่างงาน ชนิดหนักหนาสาหัสไม่น้อยกว่ายุค “The Great Depression”กลับมามีงาน มีการ มีตำแหน่งแห่งที่ ในระบบการจ้างงานไม่น้อยกว่า 19 ล้านตำแหน่ง เอาเลยถึงขั้นนั้น...
นี่...มันเลยออกจะเป็นอะไรที่น่าตื่นตา ตื่นใจ มิใช่น้อย โดยเฉพาะถ้าหากมันเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ หรือถ้าหากรัฐบาลอเมริกันยุค “โจ สเตียรอยด์”มีขีดความสามารถพอที่จะควักเงินประมาณ 621,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย มาปรับถนน เปลี่ยนถนน ในแต่ละเส้น แต่ละสาย เปลี่ยนสะพาน สร้างสะพานขึ้นมาใหม่ ก่อตั้งสถานีชาร์จพลังงานให้กับรถไฟฟ้าไปทั่วประเทศ โละระบบขนส่งสาธารณะแบบเก่าๆ ให้ใหม่เอี่ยมแบบถอดด้าม แถมยังต้องควักเงินดอลลาร์อีกไม่น้อยกว่า 111,000 ล้าน เปลี่ยนระบบท่อส่งน้ำ ปรับปรุงท่อระบายน้ำ ให้ไหลลื่น ไหลสะอาด ไหลแรงกว่าเท่าที่เคยเป็นมา ไปจนถึงควักเงินอีกไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ในการยกระดับพัฒนา การค้นคว้าและวิจัยเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเอาไว้แข่งกับจีน หรือแย่งตลาดดิจิทัลไปจากจีน และอีก 100,000 ดอลลาร์ที่จะต้องนำมาใช้ในการยกระดับเครือข่ายการกระจายกระแสไฟฟ้า จากที่เคยอาศัยพลังงานฟอสซิลอันสุดแสนจะสกปรก รกรุงรัง เป็นตัวสร้างมลพิษ เป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศ ให้กลายมาเป็น “พลังงานสะอาด”เป็นพลังงานลม พลังงานน้ำ หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อต้องเจอกับ “คำถามแรก” ว่าจะหาเงินระดับล้านล้าน หรือ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์มาจากที่ไหน จากแห่งหนตำบลไหน อันนี้...โดย “คำตอบ” ก็น่าจะออกไปทาง “แบ๊ะๆ” อยู่พอสมควร คือหนีไม่พ้นต้องหันไป “ขึ้นภาษี”จากที่เคยเก็บๆ กันประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ หลังจากที่ประธานาธิบดีคนก่อน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ลดอัตราภาษีลงมาจาก 35 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 21 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ “โจ สเตียรอยด์”หวังและตั้งใจเอาไว้ล่วงหน้า หนีไม่พ้นต้องหันไปเพิ่มภาษี ให้ขึ้นไปอีกประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ยังไงๆ คงต้อง “เถียง”กันไปอีกนาน หรือเผลอๆ อาจเถียงกันชนิดไม่จบ ไม่มีข้อยุติเอาเลยก็ไม่แน่!!!
เพราะถ้าว่ากันตามแนวคิด แนวทาง ของพวกนักเศรษฐกิจแบบ “เสรีนิยม”ทั้งหลายแล้ว การเพิ่มอัตราภาษีให้สูงๆ ขึ้นไป มันอาจกลายเป็นตัวทำลาย “อำนาจการแข่งขัน” ภายในสังคมแต่ละสังคม หรือเป็นตัวที่อาจทำให้สภาพเศรษฐกิจทั่วทั้งระบบ เกิดภาวะชะงักงันขึ้นมาได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นเสรีนิยมตามแบบฉบับอเมริกันแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่...ยากลำบากยิ่งขึ้นไปใหญ่ที่จะทำให้อภิมหาเศรษฐีที่มีอยู่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั่วทั้งประเทศ ยอมที่จะควัก “เศษเงิน”มาใช้ มาจ่าย ให้กับบรรดาประชากรประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่ร่วมภายในสังคมอเมริกัน อันเนื่องมาจาก “ประชาธิปไตย”ตามแบบฉบับอเมริกานั้น ก็เป็นที่รู้ๆ กันมาตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดี “อับราฮัม ลินคอล์น” ถูกลอบสังหารลงไปต่อหน้าต่อตาชาวอเมริกันทั้งหลายแล้วว่า มันได้ถูกปรับสภาพ แปรสภาพ ให้กลายเป็น “ประชาธิปไตยของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า”อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดและจนตราบเท่าทุกวันนี้...
ด้วยเหตุนี้...โอกาสจะไปดึง ไปทึ้ง เม็ดเงิน เศษเงิน มาจากบรรดาคนรวยทั้งหลาย ย่อมเป็นอะไรที่ยากพอๆ กับการทึ้ง การดึง “หนวดเต่าและเขากระต่าย”อะไรทำนองนั้น เพราะแม้แต่ยุครัฐบาล “โอมาบ้า”ที่ “ผู้เฒ่าโจ” ยังคงไม่ถึงกับแก่ ยังดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีมาถึง 2 ครั้ง 2 สมัย แต่ตลอดทั้ง 2 สมัยที่ผ่านมา ความพยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อให้แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง พอได้ “เชนจ์ๆ”เข้าไว้ ตามคำโฆษณาหาเสียงขึ้นมาได้มั่ง แต่นับจากนำเสนอโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2010 ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ดันหนักไปทาง “แห้วกระป๋อง”ซะทุกครั้งไป คือไม่สามารถดำเนินการตามแนวคิดและโครงการของ “โอมาบ้า” ได้เลย แม้จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ดังนั้น...โอกาสที่ “โจ สเตียรอยด์”จะต้องรับประทาน “แห้ว”เป็นกระป๋องต่อไป จนหนีไม่พ้นต้องหวนกลับไปเป็น “โจ ซึมเซา”อีกเช่นเดิม ย่อมมีความเป็นได้สูงเอามากๆ ยิ่งพยายามแสดงออกถึงความเก๋ ความเท่ ด้วยการคิดหันมาใช้พลังงานสะอาดแทนพลังงานฟอสซิล อันนี้...ก็ยิ่งน่าจะ “แห้ว...กับ...แห้ว”หนักขึ้นไปใหญ่ เพราะตลอดยุคสมัยของ “ทรัมป์บ้า” เท่าที่ผ่านมาความพยายามสนับสนุน ส่งเสริมให้นักธุรกิจพลังงานชาวอเมริกันทั้งหลาย หันมาสูบ มาดูด มาอัดสารเคมีใส่ชั้นหิน ชั้นดินตามกรรมวิธีแบบที่เรียกๆ กันว่า “Fracking” เพื่อสกัดเอาน้ำมันฟอสซิลออกมาจากชั้นหินดินดาน จนทำให้เกิดยุคแรก สมัยแรก ที่ประเทศอเมริกาสามารถ “ส่งออกน้ำมัน” ไปยังประเทศต่างๆ การหันไปใช้ “พลังงานสะอาด”ของ “โจ ซึมเซา”ก็จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ “ทุบหม้อข้าว” ของนักธุรกิจพลังงานในอเมริกา ชนิดต้องแตกเป็นไหๆ หม้อๆ เอาเลยก็ว่าได้...
ส่วนการคิดจะยกระดับ พัฒนา เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เพื่อเอาไว้สู้กับจีนเป็นการเฉพาะ มาถึงขั้นนี้ ถึง ณ ขณะนี้...มันอาจจะ “ช้าไปต๋อย”หรือสายเกินไป หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน เพราะอาจต้องไปถามบรรดานักเทคนิค นักเทคโนโลยี ที่ส่วนใหญ่มักจะส่ายหัว ส่ายหน้ากันมานานแล้ว สำหรับความเชื่องช้า ซึมเซา โดยเฉพาะในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา สำหรับเทคโนโลยีประเภทนี้ อีกทั้งถ้าดันต้องเจอกับงดส่ง “แร่หายาก” (Rare Earth) ของจีนให้กับบริษัทต่างๆ ในอเมริกา หรือเกิดการหยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นอาวุธตอบโต้ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะไปไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่เตะตัดขา ไม่ให้คู่แข่งผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่ง อย่างที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ ก็ยิ่งยากยิ่งขึ้นไปใหญ่...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...สุดท้ายแล้ว คำประกาศ การแสดงออกถึงความปรารถนาของ “ผู้เฒ่าโจ”ในการพลิกฟื้นคืนชีพประเทศอเมริกา ให้กลับมา “Lead The World Again” หรือให้ “Build Back Better” อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แม้อาจจะดูเก๋ ดูเท่ อยู่บ้างตามสมควร แต่โอกาสที่มันจะเป็นจริง-เป็นจัง เป็นไปตามนั้น ออกจะหนักไปทาง “เท่...แต่ไม่มีจะแ-ก” ซะเป็นหลัก แบบเดียวกับความพยายามปลุกฟื้น คืนชีพ ความเป็น “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน”ขณะที่ภายในประเทศยังเกิดการไล่ถีบ ไล่กระทืบชาวเอเชีย เอาเข่ากดคอคนผิวสี ผิวดำ ยังเป็นประชาธิปไตยของคน 1 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 99 เปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด ท้ายที่สุด...ย่อมหนีไม่พ้นต้องเปิด “แห้วกระป๋อง” ออกมารับประทานแบบคราวแล้ว คราวเล่า นั่นแล...