โดนรวบตัวแล้ว คนร้ายก่อเหตุสุดช็อก เมื่อจู่ๆ ก็ตรงเข้าทำร้ายหญิงชราชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย จนบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เธอกำลังเดินไปยังโบสถ์ใกล้ๆ จัตุรัสไทม์สแควร์ ของนครนิวยอร์ก ปรากฏว่า เป็นหนุ่มใหญ่ผิวดำที่ได้รับทัณฑ์บนออกจากคุกภายหลังถูกตัดสินมีความผิดฐานฆ่าแม่ของตัวเองเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน โดยครั้งนี้เขาถูกตั้งข้อหาหลายกระทง รวมทั้งก่อคดีอาญาร้ายแรงเข้าข่ายอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ทั้งนี้ ตามการแถลงของตำรวจในช่วงเช้ามืดวันพุธ (31 มี.ค.)
ตำรวจระบุว่า แบรนดอน เอลเลียต วัย 38 ปี คือ ชายที่ถูกพบเห็นในวิดีโอว่ากำลังถีบและกระทืบหญิงวัย 65 ปี ผู้นั้นเมื่อวันจันทร์ (29) ตำรวจบอกว่า เอลเลียต พำนักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งจัดให้เป็นที่พักพิงสำหรับผู้ไร้บ้าน ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกจากสถานที่เกิดเหตุทำร้าย
เอลเลียต ซึ่งเป็นคนผิวดำ ถูกพิพากษาว่ากระทำผิดจริงฐานใช้มีดแทงแม่ของเขาเองจนเสียชีวิตในเขตบรองซ์ ของนิวยอร์ก เมื่อปี 2002 ขณะเขาอายุ 19 ปี เขาถูกปล่อยตัวออกจากคุกในปี 2019 และเวลานี้มีฐานะเป็นผู้อยู่ในทัณฑ์บนตลอดชีวิต
เขาถูกตั้งข้อหาตั้งแต่ทำร้ายร่างกายแบบเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง, พยายามทำร้ายร่างกายแบบเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง, ทำร้ายและพยายามทำร้ายร่างกาย จากการก่อเหตุในวันจันทร์ (29) ตำรวจระบุ
สำหรับเหยื่อผู้ถูกทำร้าย ได้รับการระบุตัวว่าชื่อ วิลมา คารี สตรีวัย 65 ปีผู้อพยพมาจากฟิลิปปินส์ ลูกสาวของเธอแจ้งกับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ขณะที่เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐฯเผยว่า เหยื่อผู้นี้เป็นคนสัญชาติอเมริกัน
จากภาพวิดีโอที่กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ในช่วงสายวันจันทร์ (29) คนร้ายซึ่งตำรวจจับกุมตัว และระบุว่า คือ เอลเลียต จู่ๆ ก็ถีบเข้าที่ท้องของคารีขณะเดินสวนกัน จนเธอกระเด็นลอยไปกองกับพื้น จากนั้นคนร้ายยังตามกระทืบซ้ำที่บริเวณลำตัวและที่ศีรษะหลายครั้ง เท่านั้นไม่สาแก่ใจ ชายคนดังกล่าวหมุนตัวหันกลับมากระทืบศีรษะของเธออีกครั้งเต็มแรง แล้วเดินหนีไป
ตำรวจเปิดเผยว่าระหว่างลงมือโจมตีนั้น คนร้ายตะโกนคำหยาบต่อต้านคนเอเชีย และบอกกับเหยื่อว่า “แกไม่ใช่คนที่นี่”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นด้านนอกของอาคารอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างเพียงแค่ 2 ช่วงตึก จากไทม์สแควร์ ย่านที่ผู้คนพลุกพล่านและมีตำรวจประจำการอยู่หนาแน่น
ภาพในวิดีโอพบเห็นพนักงาน 2 คน ภายในอาคาร ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ทว่า กลับยืนดูเฉยๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อแต่อย่างใด ปล่อยคนร้ายเดินหนีไปอย่างใจเย็น แถมยังปิดประตูทางเข้าอาคารหลังจากนั้น
บิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก เรียกวิดีโอเหตุโจมตีดังกล่าว ว่า “น่าสะอิดสะเอียนและน่าคับแค้นใจอย่างที่สุด” และบอกว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่พวกผู้เห็นเหตุการณ์ไม่เข้าแทรกแซงช่วยเหลือเหยื่อ
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณเป็นใคร ผมไม่แคร์ว่าคุณทำอะไร คุณต้องช่วยเหลือเพื่อนร่วมเมืองนิวยอร์กของคุณ” เดอ บลาซิโอ กล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวันในวันอังคาร (30) “ถ้าคุนเห็นบางคนถูกเล่นงาน ทำสิ่งที่คุณทำได้ ส่งเสียงดัง โวยวายสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามเข้าช่วยเหลือ โทรศัพท์แจ้ง 911 ขอความช่วยเหลือในทันที นี่คือ ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา เราไม่อาจแค่ยืนมองปล่อยให้การกระทำเลวร้ายเกิดขึ้น”
เหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอาชญากรรมต่อต้านคนเอเชียที่เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ และเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ หลังเกิดเหตุกราดยิงหมู่ในแอตแลนตา คร่าชีวิตผู้คนไป 8 ราย ในนั้น 6 คนเป็นผู้หญิงเชื้อสายเอเชีย ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้เชื่อมโยงกับการกล่าวโทษผิดๆ ว่า จีนเป็นต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และถ้อยคำต่างๆ นานาที่ถูกกล่าวหาว่าเหยียดผิวของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในนั้นรวมถึง “ไวรัสจีน”
ตำรวจเปิดเผยว่า ในปีนี้จนถึงวันอาทิตย์ (28 มี.ค.) ในนิวยอร์ก เกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีคนเอเชียเป็นเหยื่อแล้ว 33 คดี เพิ่มขึ้นอย่างมากหากเทียบกัยช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งพบเห็นอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีคนเอเชียเป็นเหยื่อ 11 คดี
แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เรียกเหตุโจมตีในวันจันทร์ (29 มี.ค.) ว่า “น่าขยะแขยงและน่ารังเกียจ” พร้อมสั่งให้กองกำลังเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังของตำรวจรัฐ ช่วยเหลือกรมตำรวจนิวยอร์ก แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยรายใด
กองกำลังเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังของกรมตำรวจนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้สืบสวนเหตุโจมตีครั้งนี้ เผยแพร่วิดีโอของเหตุโจมตีและภาพถ่ายของผู้ต้องสงสัยในวันจันทร์ (28 มี.ค.) พร้อมร้องขอผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่
ด้านโฆษกของโรงพยาบาลเปิดเผยว่า ผู้หญิงที่ถูกเล่นงานเมื่อวันจันทร์ (28) เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาการทรงตัวแล้วในวันอังคาร (29)
ขณะที่ บรอดสกี้ ออแกไนเซชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดการของอาคารใกล้จุดเกิดเหตุ เขียนบนอินสตาแกรมว่าทราบเรื่องเกี่ยวกับเหตุจู่โจมแล้ว และบอกว่า พนักงาน 2 คนที่เห็นเหตุการณ์จะถูกพักงานระหว่างการสืบสวน
อย่างไรก็ตาม ทางหัวหน้าสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้ง 2 โต้แย้งว่า ทางสหภาพได้รับคำชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือแล้วในทันที
(ที่มา: เอพี, เอเจนซีส์)
