xs
xsm
sm
md
lg

‘หมอใหญ่ทำเนียบขาว’ เตือนอย่าเพิ่งผ่อนมาตรการสกัดโควิด เคสใหม่ยังสูงไม่ยอมลด ส่อเป็นแบบยุโรป สามารถพุ่งขึ้นอีกระลอก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘เฟาซี’ หมอใหญ่ทำเนียบขาว เตือนอเมริกาอาจเผชิญชะตากรรมเดียวกับยุโรป ย้ำเวลานี้จำนวนเคสใหม่ยังทรงตัวอยู่ระดับสูงมาก 60,000-70,000 คนต่อวัน บ่งชี้ความเสี่ยงที่ยอดผู้ติดเชื้ออาจพุ่งทะยานอีกรอบ แต่หลายรัฐกลับเพิกเฉยต่อคำเตือนและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์กันแล้ว ขณะเดียวกัน ออสเตรียสั่งระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าชั่วคราว หลังพบผู้เสียชีวิต 1 คน และผู้มีอาการโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดอีกคน เพื่อระวังไว้ก่อนระหว่างสอบสวนหาสาเหตุ แต่ยอมรับว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างผลข้างเคียงร้ายแรงกับการฉีดวัคซีนของบริษัทนี้แต่อย่างใด

ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่แล้ว เทกซัส และมิสซิสซิปปี ซึ่งมีผู้ว่าการรัฐสังกัดพรรครีพับลิกันทั้งคู่ ประกาศยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากป้องกัน และถูกประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประณามว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สะท้อนความคิดสุดแสนโบราณ ผู้นำสหรัฐฯ ยังสำทับว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และผู้นำด้านสาธารณสุข

ต่อมาในวันศุกร์ (5 มี.ค.) รัฐแอริโซนา แคลิฟอร์เนีย และเซาท์แคโรไลนา ประกาศผ่อนคลายมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ในระดับต่างๆ กัน เช่น ผู้ว่าการรัฐแอริโซนาอนุญาตให้ธุรกิจดำเนินการได้ตามปกติ แต่ประชาชนยังต้องสวมหน้ากาก ขณะที่ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนายกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากในอาคารที่ทำการรัฐบาล แต่ยังแนะนำให้สวมในร้านอาหารต่อไป

แคลิฟอร์เนียเตรียมไฟเขียวให้สวนสนุก กีฬากลางแจ้ง และการแข่งขันกีฬาในสนามกีฬาเปิดอีกครั้งในเดือนหน้า รวมถึงผ่อนคลายข้อกำหนดเกี่ยวกับการสวมหน้ากาก

นพ.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและที่ปรึกษาใหญ่ด้านสาธารณสุขของคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันศุกร์ระหว่างแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในทำเนียบขาวว่า อเมริกาเพิ่งเผชิญการระบาดที่เลวร้ายที่สุด และสำทับว่า ขณะนี้ยอดผู้ป่วยใหม่ยังค้างเติ่งอยู่ที่ระดับสูงมากประมาณ 60,000-70,000 คนต่อวัน ซึ่งบ่งชี้ว่า อเมริกากำลังเผชิญความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นอีกรอบ

จากฐานข้อมูลของนิวยอร์กไทมส์นั้น จำนวนเคสใหม่ในอเมริกาเฉลี่ยในรอบ 7 วันจนถึงวันศุกร์อยู่ที่วันละ 61,000 คน ซึ่งแม้ต่ำสุดนับจากเดือนตุลาคม แต่ยังใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในช่วงฤดูร้อนที่แล้ว

จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากการฉีดวัคซีนในสถานพักฟื้นคนชรา กระนั้น อเมริกายังมีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 2,000 คน

เฟาซีเตือนว่า อเมริกาอาจเผชิญชะตากรรมเดียวกับยุโรปที่ยอดผู้ติดเชื้อค้างเติ่งไม่ลดไม่เพิ่มรุนแรงอยู่พักใหญ่ แล้วก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 9% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

หมอใหญ่ของอเมริกายังเตือนว่า ไวรัสมีการกลายพันธุ์ขณะมันเพิ่มจำนวน ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจแสดงฤทธิ์เดชออกมาได้เมื่อผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกลายเป็นติดเชื้อ ดังนั้น การสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคมจึงยังคงเป็นมาตรการเร่งด่วนต่อไป

ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลจนถึงปลายสัปดาห์ที่แล้วพบว่า ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์บี.1.1.7 ที่พบครั้งแรกในอังกฤษ เวลานี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอเมริกา และมีแนวโน้มสูงสุดว่า เคสใหม่ 20% ในอเมริกาติดเชื้อไวรัสตัวนี้ นอกจากนั้นนักวิจัยในรัฐญออริกอนยังพบไวรัสกลายพันธุ์ที่อุบัติขึ้นในท้องถิ่นและมีหนามแบบเดียวกับสายพันธุ์บี.1.1.7 ซึ่งมีความสามารถในการกลายพันธุ์ที่อาจลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน

พญ.โรแชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) เรียกร้องไม่ให้รัฐต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการจำกัดเช่นเดียวกัน โดยรายงานฉบับใหม่ของซีดีซีพบว่า เทศมณฑลที่อนุญาตให้ผู้บริโภคเข้าไปนั่งกินอาหารในร้านมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ต่อมา ส่วนเทศมณฑลที่ใช้คำสั่งสวมหน้ากากมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง

ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานเพื่อความปลอดภัยด้านการดูแลสุขภาพของออสเตรีย ได้สั่งระงับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเมื่อวันอาทิตย์ (7) เพื่อระมัดระวังไว้ก่อนระหว่างสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ฉีดวัคซีนนี้ 1 คน และอีกคนที่มีอาการโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด แต่ยอมรับว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างผลข้างเคียงดังกล่าวกับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า

ด้านโฆษกของแอสตร้าเซนเนก้ายืนยันว่า ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงกับวัคซีนของบริษัทซึ่งมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด นอกจากนั้น จากการใช้จริงและการทดลองยังบ่งชี้ว่า วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และได้รับอนุมัติให้ใช้ในกว่า 50 ประเทศในขณะนี้

แอสตร้าเซนเนก้าเสริมว่า ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ออสเตรียแล้วและพร้อมให้การสนับสนุนการตรวจสอบอย่างเต็มที่

(ที่มา : นิวยอร์กไทมส์, เอเอฟพี, รอยเตอร์)


กำลังโหลดความคิดเห็น