“ไบเดน”ประกาศมีวัคซีนเพียงพอฉีดให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ของสหรัฐฯทั้งหมดภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม และอเมริกาอาจกลับสู่ภาวะปกติในช่วงเวลานี้ของปีหน้าหรือเร็วกว่านั้น ภายหลังบริษัทเมอร์คบรรลุข้อตกลงช่วยผลิตวัคซีนฉีดโดสเดียวพอ ของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน กระนั้น ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมและสวมหน้ากากป้องกันต่อไป ทว่า ก่อนหน้านั้นไม่นาน ผู้ว่าการรัฐเทกซัสได้ออกมายกเลิกคำสั่งสวมหน้ากาก พร้อมปลดล็อกธุรกิจ 100% นอกจากนี้ยังมีข่าวร้ายจากทีมนักวิจัยอังกฤษที่เผยว่า ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์บราซิลน่าจะสามารถทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อและรักษาหายแล้วกลับมาป่วยซ้ำ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงในวันอังคาร (2 ก.พ.) ว่า อเมริกาจะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับฉีดให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม หลังจากเมอร์ค แอนด์ โค ตกลงผลิตวัคซีนที่พัฒนาโดยจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) และยกย่องเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ วัคซีนตัวนี้เป็นแบบฉีดเพียงโดสเดียว ไม่ต้องฉีด 2 โดสห่างกันหลายสัปดาห์แบบตัวอื่นๆ อย่างเช่น ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, หรือ แอสตราเซเนกา
ด้านกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ สำทับว่า ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งเมื่อประกอบกับขั้นตอนอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น การช่วยติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในโรงงาน 2 แห่งของเมอร์ค จะช่วยให้เจแอนด์เจส่งมอบวัคซีนได้ถึง 100 ล้านโดส ภายใน 1 เดือน
ไบเดนซึ่งเร่งโครงการให้เร็วขึ้น จากที่เคยตั้งเป้าว่าสหรัฐฯจะมีวัคซีนฉีดให้ประชาชนทั้งหมดภายในปลายเดือนกรกฎาคม ยังแสดงความหวังว่า อเมริกาจะ “กลับสู่สถานการณ์ปกติ” ในช่วงเวลานี้ของปีหน้าหรืออาจเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า ประชาชนจะยังคงรับมือโรคระบาดอย่างชาญฉลาด และเข้าใจว่า อเมริกายังคงมีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้ต่อวิกฤตไวรัสหรือไม่
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯเรียกร้องให้ประชาชนต้องช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขพื้นฐานต่อไป เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากากป้องกัน แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลง ขณะที่มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนมากขึ้นก็ตาม
เทกซัสไม่ยอมรอ เลิกบังคับสวมหน้ากากแล้ว
กระนั้น ก่อนหน้าการออกแถลงคราวนี้ของไบเดนไม่นาน เกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัสซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาประกาศยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากป้องกัน รวมทั้งยังอนุญาตให้ธุรกิจทั้งหมดเปิดดำเนินการได้ตามปกติ แม้ว่าหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐบาลได้ออกคำเตือนรัฐต่างๆ ไม่ให้รีบร้อนผ่อนปรนมาตรการเข้มงวดเพื่อต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ก็ตาม
แอ็บบอตต์อ้างเหตุผลในการปลดล็อกมาตรการว่า เนื่องจากขณะนี้มีวัคซีนโควิด-19 แล้ว อีกทั้งการตรวจหาผู้ติดเชื้อและการรักษายังมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่สามารถเปิดดำเนินการได้เพียง 50-75% มานานเกือบครึ่งปี ส่งผลต่อโอกาสในการจ้างงานของประชาชนในรัฐ
ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์บราซิล ทำให้ผู้เคยติดเชื้อแต่รักษาหาย กลับมาป่วยได้อีก
ในอีกด้านหนึ่ง คณะนักวิจัยของอังกฤษได้ออกมาเปิดเผยผลศึกษาเบื้องต้นที่พบว่า ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์พี.1 ที่ปรากฏขึ้นในเมืองมาเนาส์ ของบราซิล และขณะนี้ระบาดในอย่างน้อย 20 ประเทศ สามารถทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อแต่รักษาหายแล้วกลับมาป่วยได้อีก
นูโน ฟาเรีย ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ที่เป็นผู้นำร่วมในการวิจัยนี้ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ระบุว่า ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์พี.1 มี “กลุ่มการกลายพันธุ์พิเศษ” โดยจากการศึกษาผู้ป่วยโควิดที่ได้รับการรักษาหายแล้ว 100 คนในมาเนาส์ พบว่า มีถึง 25-61 คนมีความเสี่ยงกลับมาติดเชื้อพี.1 ได้อีก
นักวิจัยกลุ่มนี้ประเมินว่า พี.1 สามารถแพร่เชื้อได้มากว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่พบในช่วงแรก 1.4-2.2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ฟาเรียสำทับว่า ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า วัคซีนโควิดที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่สามารถต้านทานไวรัสสายพันธุ์นี้ได้
งานวิจัยนี้ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างนักวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน, มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ และนักวิจัยในเซาเปาโลของบราซิล บ่งชี้ว่า ไวรัสพี.1 อาจอุบัติขึ้นในเมืองมาเนาส์ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกในวันที่ 6 ธันวาคม
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)