คาดสหรัฐฯ เตรียมประชุมอนุมัติการใช้วัคซีน “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” เป็นกรณีฉุกเฉินปลายสัปดาห์นี้ หลังออกรายงานยืนยันวัคซีนซึ่งมีจุดเด่นตรงฉีดแค่โดสเดียวก็เพียงพอชนิดนี้ มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไม่ให้เกิดโควิดอาการรุนแรง รวมถึงสู้กับไวรัสกลายพันธุ์แอฟริกาใต้ได้ อีกทั้งให้การปกป้องทุกกลุ่มอายุ เชื้อชาติ หรือแม้แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัว ขณะที่ทางด้าน “โมเดอร์นา” เผยกำลังร่วมกับนักวิจัยของรัฐบาลอเมริกัน ทดสอบวัคซีนกระตุ้นที่พุ่งเป้าสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ส่วน กานา กลายเป็นประเทศแรกที่ได้รับวัคซีนภายใต้โครงการโคแวกซ์
เอกสารที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) เผยแพร่เมื่อวันพุธ (24 ก.พ.) ระบุว่า ในการศึกษาทางคลินิกขนาดใหญ่พบว่า วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอาการป่วยรุนแรงจากไวรัสโคโรนาถึง 85.9% ในอเมริกา, 81.7% ในแอฟริกาใต้ และ 87.6% ในบราซิล
สำหรับผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกทั้งหมด 39,321 คนจากทุกภูมิภาค วัคซีนสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรงจากโควิดได้ 85.4% แต่ลดเหลือ 66.1% เมื่อรวมผลจากการป้องกันอาการป่วยระดับปานกลาง
ที่สำคัญ ผลการวิเคราะห์ไม่พบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพที่แตกต่างในกลุ่มอายุ ชาติพันธุ์ต่างๆ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนั้นยังไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis) แบบที่พบในวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา แค่มีแนวโน้มทำให้เกิดอาการแพ้ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และปวดกล้ามเนื้อ กับอาสาสมัครอายุน้อยมากกว่ากลุ่มผู้สูงวัย และไม่พบผู้เสียชีวิตในการทดลองแต่อย่างใด
เอกสารของเจแอนด์เจยังระบุว่า การศึกษาเบื้องต้นพบว่าวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการด้วย แต่สำทับว่ายังต้องศึกษาเพิ่มเติมในส่วนนี้ต่อไป
ด้านเอฟดีเอระบุในเอกสารว่า ผลการวิเคราะห์สนับสนุนข้อมูลด้านความปลอดภัย รวมทั้งไม่พบข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่อาจขัดขวางการอนุญาตใช้ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ คาดว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการอิสระของเอฟดีเอในวันศุกร์ (26) ซึ่งมีแนวโน้มลงมติอนุญาตให้ใช้วัคซีนของเจแอนด์เจเป็นกรณีฉุกเฉิน หากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นวัคซีนตัวที่ 3 ที่ได้รับอนุมัติในอเมริกา โดยสองตัวแรกคือวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา
เจฟฟ์ ไซเอนต์ส ผู้ประสานงานการรับมือไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาว เผยว่า ถ้าได้รับอนุมัติ รัฐบาลจะพยายามแจกจ่ายวัคซีนของเจแอนด์เจ 3-4 ล้านโดสภายในสัปดาห์หน้า และเจแอนด์เจยังแจ้งว่า มีเป้าหมายส่งมอบวัคซีน 20 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนมีนาคม
วันเดียวกันนั้น โมเดอร์นา บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของอเมริกา เผยว่า ได้จัดส่งวัคซีนกระตุ้นที่พุ่งเป้าจัดการกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งพบที่แรกในแอฟริกาใต้ ไปให้สถาบันสุขภาพแห่งชาติของรัฐบาลอเมริกาที่ช่วยบริษัทพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เพื่อดำเนินการศึกษาเพิ่มเติมแล้ว
ขณะนี้ โมเดอร์นากำลังทดลองวิธีการต่างๆ ในการจัดการไวรัสโคโรนากลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น วัคซีนกระตุ้นที่พัฒนามาสำหรับไวรัสกลายพันธุ์ซึ่งพบในแอฟริกาใต้ หรือวัคซีนกระตุ้นที่เป็นสูตรผสมระหว่างสูตรปัจจุบันกับสูตรที่อยู่ระหว่างการทดลอง และวัคซีนกระตุ้นพิเศษที่ฉีดเพิ่มจากวัคซีน 2 โดสซึ่งต้องฉีดในปัจจุบัน
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังทดลองใช้วัคซีนทดลองและวัคซีนสูตรผสมฉีดให้กับอาสาสมัครที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนและไม่ได้ติดโควิด ในฐานะเป็นวัคซีนเข็มแรกและเข็มกระตุ้น
โมเดอร์นายังเพิ่มการคาดการณ์การผลิตวัคซีนในปีนี้เป็น 700 ล้านโดสทั่วโลก จาก 600 ล้านโดส และกำลังลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตเป็น 1,400 ล้านโดสในปีหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า กานาเป็นประเทศแรกที่ได้รับวัคซีนจากการจัดหาของโครงการโคแว็กซ์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า/ออกซ์ฟอร์ดจำนวน 600,000 โดส จากทั้งหมดที่จะจัดหาให้ 2,412,000 โดส
โคแวกซ์ที่นำโดยพันธมิตรวัคซีน กาวี, WHO, และกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด มีเป้าหมายจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 2,000 ล้านโดสให้พวกชาติสมาชิกที่ยากจนภายในสิ้นปีนี้
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)