วัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สามารถใช้กับผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป และสามารถใช้ในประเทศต่างๆ ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากประกาศของคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ในวันพุธ (10 ก.พ.) ปัดเป่าความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน
คณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลก (Strategic Advisory Group of Experts on Immunization : SAGE) ออกคำแนะนำชั่วคราวสำหรับแนวทางการใช้วัคซีน 2 โดสตัวดังกล่าวซึ่งทางองค์การอนามัยโลกยังไม่ได้อนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากวัคซีนประสบปัญหาต่างๆ นานา มีคำถามเพิ่มมากขึ้นว่ามันควรใช้กับผู้สูงวัย หรือควรใช้ในดินแดนต่างๆ ที่กำลังเผชิญการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้หรือไม่
อเลฮันโดร คราวิโอโต ประธาน SAGE ยอมรับว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้สูงวัยอายุเกิน 65 ปี ซึ่งกระตุ้นให้หลายประเทศระงับคำแนะนำใช้กับคนชรา ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม คณะผู้เชี่ยวชาญสรุปว่ามันใช้ได้ผลกับกลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า “มันมีความเป็นไปได้ที่จะพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในคนชรา ข้อมูลการทดลองบ่งชี้ว่าวัคซีนมีความปลอดภัยกับกลุ่มอายุนี้” เขาบอกกับผู้สื่อข่าว “เรารู้สึกว่าไม่ควรตอบสนองคนกลุ่มนี้ต่างจากคนกลุ่มอื่นๆ ที่มีอายุุน้อยกว่า” ดังนั้น ทาง SAGE จึงแนะนำให้ใช้วัคซีนตัวนี้กับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยไม่จำกัดอายุสูงสุด
คราวิโอโต บอกว่า พวกผู้เชี่ยวชาญกำลังรอข้อมูลที่เจาะจงกว่านี้เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในคนสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่คงไม่เหมาะสมหากให้ประเทศต่างๆ เฝ้ารอคำแนะนำจาก SAGE “เรามีคนหลายพันหลายหมื่นกำลังจะตาย ทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ ที่อาจช่วยลดการตายได้นั้น มีความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง แม้ว่าข้อมูลมันยังไม่สมบูรณ์อย่างที่เราอยากให้เป็นก็ตาม”
พวกผู้เชี่ยวชาญยังเผยด้วยว่า พวกเขาได้หารือกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน ยามต้องเผชิญกับตัวกลายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากแอฟริกาใต้ตัดสินใจระงับใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกา ในแผนฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ท่ามกลางความกังวลต่อประสิทธิภาพของมันกับตัวกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ข้อกังวลมีขึ้น ตามหลังการทดลองหนึ่ง ณ มหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สแรนด์ในนครโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งพบว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพป้องกันแค่ “เล็กน้อย” สำหรับอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ถึงปานกลางที่เกิดจากตัวกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยืนยันว่าข้อมูลเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น โดยชี้ให้เห็นว่าการวิจัยมีขอบเขต ระเบียบวีธี และขนาดที่ค่อนข้างเล็ก และทาง SAGE แนะนำในวันพุธ (10 ก.พ.) ว่าสามารถใช้วัคซีนตัวดังกล่าวได้แม้กระทั่งกับตัวกลายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศแห่งนี้
คณะผู้เชี่ยวชาญของ SAGE ระบุด้วยว่า วัคซีนพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเว้นระยะห่างการฉีดโดสแรกกับโดส 2 ระหว่าง 8 ถึง 12 สัปดาห์
โครงการจัดสรรวัคซีนโคแว็กซ์ (COVAX) ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ร่วมมือกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) กับองค์กรกาวี (Gavi) และองค์การอนามัยโลก เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 รับประกันการแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมทั่วโลก
วัคซีนของแอสตราเซเนกาคิดเป็นเกือบทั้งหมดของวัคซีน 337.2 ล้านโดสในโครงการโคแว็กซ์ ที่กำลังเตรียมการเริ่มส่งมอบแก่ประเทศต่างๆ ราว 145 ชาติ ก่อนเดือนกรกฎาคม ครอบคลุมประชากรของพวกเขาราวๆ 3%
อย่างไรก็ตาม วัคซีนของแอสตราเซเนกาจำเป็นต้องได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินจากองค์การอนามัยโลกเสียก่อน ซึ่งเตรียมพิจารณาตัดสินใจกันในสัปดาห์หน้า โดยเวลานี้เพียงวัคซีนของไฟเซอร์เท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก
เวธ บาร์คลีย์ ประธานองค์กรกาวี เรียกถ้อยแถลงของ SAGE ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่การอนุมัติใช้อย่างเป็นทางการ ว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างมาก “เราจะเดินหน้าแผนของเราในการแจกจ่ายวัคซีนนี้ทั่วโลก”
(ที่มา : เอเอฟพี)