xs
xsm
sm
md
lg

โลกที่ใกล้ถึงจังหวะการลั่นกระสุนนัดแรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ไช่ อิง-เหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน
มาถึงขั้นนี้...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า ระหว่างรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” กับรัฐบาล “โจ ซึมเซา” แทบไม่ได้ผิดแผกแตกต่างอะไรกันเลยแม้แต่นิด โดยเฉพาะกับมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นมาเป็น “คู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย เผลอๆ...อาจจะหนักกว่า แรงกว่า หรือ “บ้า” กว่า เอาเลยก็ไม่แน่!!! อันทำให้ความน่าเสียว น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง ภายในภูมิภาคเอเชียของหมู่เฮา น่าจะมีแต่แรงขึ้นๆ โอกาสที่จะปลอดโปร่งโล่งสบาย ได้หมดถ้าสดชื่น นับวันจะยิ่งเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ หรือแทบ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” ยิ่งเข้าไปทุกที...

ด้วยเหตุนี้...วันนี้ คงต้องพักเรื่องพม่า เรื่องตะวันออกกลางเอาไว้ก่อนพลางๆ หันมาตามไปดูรายการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ของคุณพ่ออเมริกาต่อคุณพี่จีน ที่ชักก่อให้เกิดสีสันบรรยากาศ ในระดับใกล้ลงมือ ลงตีน ระหว่างกันและกันเต็มที นั่นก็คือการอาศัยความกระเหี้ยนกระหือรือ ความมุ่งมาดปรารถนาที่อยากจะเป็น “เอกราช” ของไต้หวัน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีขวัญใจคนรุ่นใหม่ อย่าง “นางไช่ อิง-เหวิน” (Tsai Ing-wen) แห่งพรรค “DPP” (Democratic Progressive Party) ผงาดขึ้นมาครองอำนาจ โดดเข้ามารับบทคนใช้พระเอก นางเอก หรือดาวร้าย นางร้าย ก็แล้วแต่ กระทำการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” คุณพี่จีนอย่างเอาจริง-เอาจัง ตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” มาโน่นเลย จนแม้แต่ตราบเท่าทุกวันนี้ หรือแม้แต่ในยุค “โจ ซึมเซา” การโดดไปนั่งอยู่บนหัวสะพาน แล้วครวญครางบทเพลงประเภท “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก”ระหว่างดักรอพระเอก หรือผู้ร้ายก็แล้วแต่ จึงเป็นไปในแบบใกล้จะถึงจังหวะ “กระทืบ” ระหว่างกันและกันยิ่งเข้าไปทุกที...

คืออย่างเมื่อวันอาทิตย์ (28 มี.ค.) ที่ผ่านมา...หรือระหว่างการเดินไปเยือนไต้หวัน โดยผู้นำประเทศเกาะเล็กๆ อย่าง “สาธารณรัฐปาเลา” “นายซูรังเกล วิปส์ จูเนียร์” (Surangel Whipps Jr.) อันเป็นประเทศที่ถือว่าอยู่ภายใต้การอุ้มชู ดูแลของอเมริกา ระดับถือเป็น “รัฐในอารักขา” เอาเลยก็ว่าได้ คือไม่ว่าการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ ต่างต้องพึ่งพาอาศัยคุณพ่ออเมริกาไปด้วยกันทั้งสิ้น และในกระบวนการเดินทางไปเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการคราวนี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำปาเลา อย่าง “นายจอห์น เฮนเนสซี-นิแลนด์” (John Hennessy-Niland) อดีตที่ปรึกษาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคแปซิฟิก ก็เลยถือโอกาสติดสอย ห้อยตามไปเยือนไต้หวันกะเขาด้วย อันถือเป็นการเดินทางไปเยือนดินแดนแห่งนี้ภายในรอบ 42 ปีของเอกอัครราชทูตอเมริกา นับจากรัฐบาลอเมริกันได้ปรับเปลี่ยนหันมายึดนโยบาย “จีนเดียว” หรือ “The one-China Policy” หรือ “The one-China principle” ตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดี “นิกสัน” เป็นต้นมา หรือพูดง่ายๆ ว่า...แทบถือเป็นการล้มเลิก “หลักการ” ล้มเลิก “นโยบาย” ที่ถือว่า “ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน” ชนิดไม่ต่างจากการรับรองอำนาจอธิปไตยของไต้หวันไปโดยปริยาย หนักซะยิ่งกว่าการหันไปด่าผู้นำรัสเซียว่าเป็น “ฆาตกร” เป็น “นักฆ่า” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...

แถมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง...รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุค “โจ ซึมเซา” ยังได้ตัดสินใจลงนามข้อตกลงจัดตั้ง “หน่วยยามฝั่ง” กับรัฐบาลไต้หวัน เพื่อช่วยปกป้อง คุ้มครองภัยคุกคามความมั่นคงใดๆ ของไต้หวัน ไม่ต่างไปจากข้อตกลงแบบ “G-to-G” อะไรประมาณนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้คุณพี่จีน ไม่ว่าจะในฐานะพระเอกหรือผู้ร้าย อดที่จะเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า หรือเปรี้ยวตีนขึ้นมาอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งเมื่อเจอกับกิริยาอาการเจ้าหน้าที่ระดับสูงไต้หวัน ระดับ “รัฐมนตรีกลาโหม” อย่าง “นายChiu Kuo-Cheng” ออกมาป่าวประกาศว่า ไต้หวันกำลังยกระดับพัฒนาจรวดพิสัยไกล ที่จะสามารถยิงเข้าไปถล่มจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แบบถึงไหนก็ถึงกัน หรือแสดงความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวไม้ ต่อเครื่องบินรบของจีน ที่ล่วงละเมิด รุกล้ำเข้าไปในเขต “ADIZ” (Air Defense Identification Zone) แบบชนิดเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า ถึงขั้นต้องสั่งให้ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของไต้หวัน กระทำการ “ล็อกเป้า” เครื่องบินจีน เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะสั่งยิงเมื่อไหร่เท่านั้นเอง อันนี้...ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าบีบมะนาวใส่หัวแม่ตีนของจีน ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับเส้นสมมติอย่าง “ADIZ” ซึ่งถูกขีดขึ้นโดยดินแดนที่ถือเป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่งของจีน” มาโดยตลอด...

และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะกรณีไต้หวันเท่านั้น...ที่ทำให้กองทัพจีน รัฐบาลจีน ยิ่งสะบัดร้อน สะบัดหนาว ใกล้จะออกมือ ออกเท้า ยิ่งเข้าไปทุกที หรือถึงขั้นต้องคิดสร้าง “ฐานทัพเฮลิคอปเตอร์” เอาไว้แถวๆ มณฑลฝูเจี้ยน หรือฐานทัพที่สามารถลำเลียงทหารจีนบุกเข้าไปในเกาะไต้หวันได้ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่การที่คุณพ่ออเมริกายังหันไปสนับสนุน ส่งเสริมให้ประเทศพี่เบิ้มแห่งเอเชียอีกราย อย่างซามูไรญี่ปุ่น เพิ่มบทบาทในการสร้าง “ปัญหา” ให้กับประเทศจีน อย่างชนิดเป็นเรื่อง เป็นราว หรือเอาเรื่อง เอาราวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าในแง่ของกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก หรือกระทั่งการเดินเรือโดยเสรีในแถบทะเลจีนใต้ จนถึงขั้นเมื่อวัน-สองวันมานี้ (30 มี.ค.) ได้เกิดการพบปะอย่างเป็นทางการ ระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น กับรัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซีย ที่กรุงโตเกียว เพื่อหารือถึงการสร้างความมั่นคงและปลอดภัยในทะเลจีนใต้ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้โอกาสที่มหาอำนาจรายใหม่อย่างจีน จะ “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ หรือเล่น “หมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ ออกจะเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่งเข้าไปทุกที...

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า...ใคร? อะไร? และอย่างไร? ที่จะก่อให้เกิดการ “ลั่นกระสุนนัดแรก” ขึ้นมาภายในภูมิภาคแห่งนี้เมื่อไหร่หรือตอนไหนเท่านั้นเอง!!! หรือพูดง่ายๆ ว่า...ต่างฝ่ายต่าง “ง้าง” หรือต่าง “เงื้อง่ามาแต่ไกล” ไปด้วยกันทั้งคู่ โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ค่อยๆ คลี่ ค่อยๆ คลาย เกิดช่อง เกิดรูระบาย หรือเกิดการผ่อนปรนประนีประนอม แทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เอาเลยแม้แต่น้อย และนั่นเอง...ที่ทำให้ “ความตึงเครียด” และ “การเผชิญหน้า” ภายในภูมิภาค หรือแม้แต่ในระดับโลกทั้งโลกก็แล้วแต่ มันจึงถูกเกี่ยว ถูกโยง ถูกทำให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดแทบไม่เหลือทางเลือก ทางออก ทางไป หรือไม่เหลือ “พื้นที่เป็นกลาง” ใดๆ สำหรับประเทศหนึ่ง ประเทศใด ต่อไปได้อีกเลย เหลืออยู่แต่ต้องเลือกข้างระหว่าง “โลกประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ที่ยอมเปิดโอกาสให้มี “มหาอำนาจ” เพียงขั้วเดียวเท่านั้นเอง กับ “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” ที่มีจีน-รัสเซีย หรืออิหร่าน ฯลฯ รวมหัว-รวมตัวปฏิเสธความเป็นจ้าวโลก หรือความเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยของอเมริกา อย่างชนิดถึงไหนก็ถึงกัน...

ดังนั้น...ไม่ว่าเรื่องของประเทศเล็กๆ ที่กำลังเป็นปัญหา อย่างพม่า เยเมน ซีเรีย อิรัก ลิเบีย ไปจนยูเครน โปแลนด์ เบลารุส หรือไกลไปถึงเวเนซุเอลา โบลิเวีย ฯลฯ โน่นเลย ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นต้องถูกนำมาเกี่ยว นำมาโยงกับความตึงเครียดและการเผชิญหน้าของมหาอำนาจระดับโลก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยที่ “กระสุนนัดแรก” จะถูกลั่นออกมาจากฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด กันในตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร มีอะไรเป็นเงื่อนไข ข้ออ้าง มี “ความชอบธรรม” รองรับมากหรือน้อยขนาดไหน อันนี้...คงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศต้องหาทางตัดสินใจกันเอาเอง ว่าจะยืนอยู่กับฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน โดยเฉพาะเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง มันชักใกล้ถึงจังหวะ เวลา ออกมือ ออกตีน ออกอาวุธ ระหว่างกันและกันเต็มที...




กำลังโหลดความคิดเห็น