วันนี้...สงสัยคงต้องไปว่ากันเรื่องการแซงช่ง แซงชั่น ที่แม้ว่าจะเป็นมาตรการเดิมๆ มุกเดิมๆ ของคุณพ่ออเมริกา ที่เอาไว้เล่นงานใครต่อใครซึ่งตัวเองเหม็นขี้หน้า ไม่ชอบขี้หน้า และมักถูกงัดมาใช้ในยุครัฐบาล “ทรัมป์บ้า” อย่างชนิดอุตลุดจนแทบไม่รู้ใครเป็นมิตร-เป็นศัตรู แต่พอมาถึงยุค “ผู้เฒ่าโจ” หรือ “โจ ซึมเซา” ก็คงไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อช่วงวันจันทร์ (22 มี.ค.) ที่ผ่านมา รัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ก็ได้ออกแข้ง ออกอาวุธ ด้วยการงัดเอามาตรการแซงชั่นออกมาใช้กับคุณพี่จีนเป็นครั้งแรก ว่าด้วยการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง แบบชนิดหยิบเอาเรื่องเก่ากลับมาเล่าใหม่ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ...
คือที่ว่าเป็นระบบ เป็นกิจการ หรือกระบวนการ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เนื่องมาจากการออกแข้ง ออกอาวุธ ด้วยการแซงชั่นคราวนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคุณพ่ออเมริกาประเทศเดียวโดดๆ แต่ยังรวมไปถึงสุนัขพูเดิลอย่างอังกฤษ ตามด้วยแคนาดา และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรืออียู อีย้วย อีกถึง 27 ประเทศ โดยประเทศผู้ช่วยนายอำเภออย่างออสเตรเลีย และรองผู้ช่วยอย่างนิวซีแลนด์ ก็ออกอาการเอากะเค้าด้วย คือออกมาแสดงท่าทีเห็นดี เห็นงาม กับมาตรการแซงชั่นคราวนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลให้จีนและรัสเซียที่เพิ่งถูกหยาม ถูกเหยียด ถูกกล่าวหาว่าผู้นำประเทศเป็น “นักฆ่า” เป็น “ฆาตกร” ออกจะ “ควันออกหู” อยู่พอสมควร นอกจากจะออกอาวุธโต้กันแบบดอกต่อดอก เห็นว่า...ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีนและรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” และ “นายหวัง อี้” ที่เพิ่งพบปะเจรจาคราวล่าสุด ถึงกับเรียกร้องให้จัดประชุมหารือในสหประชาชาติ เพื่อใคร่ครวญพิจารณาถึงท่าทีและบทบาท ของผู้ที่พยายามสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย ให้กับการเมืองโลก (Global political turbulence)เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อย่างไรก็ตาม...สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ถือเป็นเรื่อง “แปลกแต่จริง” แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านั้นตั้งแต่กลางเดือนกุมภาฯ มาแล้วหรือช่วงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ปีนี้ ระหว่างการพูดจาปราศรัย ณ ที่ประชุมความมั่นคงระดับชาติ หรือการประชุม “MSC” (Munich Security Conference) ผู้นำรายใหม่ของอเมริกาอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านก็ได้ป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าท่านคิดจะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” (แบบตะวันตก) และ “สิทธิมนุษยชน” นี่แหละ ในการต่อสู้และเอาชนะผู้ที่ลุกขึ้นมาเป็น “คู่แข่ง” หรือ “คู่กัด” ของอเมริกาอย่างรัสเซียและจีน แบบเป็นจริง-เป็นจัง และเอาจริง-เอาจังเอามากๆ ดังที่คอลัมน์นี้ได้เคยหยิบมานำเสนอไว้ในเรื่อง “สองโลกาประชาธิปไตย” เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมา เช่นคำพูด คำจา ที่ผู้นำอเมริกันระบุไว้แบบเน้นๆ ประมาณว่า... “เราจะต้องปกป้องมัน ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้มัน ต้องปรับปรุงมันขึ้นมาใหม่ ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางของเราไม่ใช่เป็นแค่วัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ นี่คือวิธีการเดียวที่ดีที่สุด และเป็นจริงเป็นจังที่สุด โดยถ้าเราร่วมมือ-ร่วมใจในบรรดาหุ้นส่วนประชาธิปไตย เราจะต้องชนะแน่นอน...” อะไรทำนองนั้น...
ดังนั้น...ย่อมถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรืออียู อีย้วย ที่เคยแซงชั่นประเทศจีนมาตั้งแต่กว่า 30 ปีหรือตั้งแต่ 32 ปีที่แล้ว ในกรณีการปราบจลาจลเทียนอันเหมินเมื่อปี ค.ศ. 1989 โน่นเลย จะโดดมาเอากะเค้าด้วย ทั้งๆ ที่เพิ่งลงนามข้อตกลงสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าและการลงทุน หรือ “A Comprehensive on Agreement Investment” (CAI) กับจีนไปเมื่อวัน-สองวัน หรือเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง อันเป็นข้อตกลงที่ทำให้เกิดการ “เปิดกว้าง” ในการทำมาค้าขาย การทำมาหารับประทานระหว่างสองฝ่ายไปด้วยกันทั้งคู่ แถมยังเป็นข้อตกลงที่ประเทศในอียูอย่างฝรั่งเศส เคยอ้างเอาไว้เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ว่ายังไม่คิดจะลงนามด้วย อันเนื่องมาจากติดปัญหาเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ของชาวอุยกูร์นี่เอง จนข้อตกลงดังกล่าวต้องค้างเติ่งมาเกือบ 7 ปี 8 ปี หรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 โน่นเลย...
แต่ก็อาจด้วยเหตุเพราะถ้าเป็นเรื่องการค้า-การขาย การทำมาหารับประทาน ไม่ว่าอียู หรืออีไม่ยู เมื่อต้องเจอกับคุณพี่จีนเข้าแล้ว ล้วนแต่ต้องแปรสภาพเป็น “อีย้วย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากความมาแรง-แซงโค้งของ “เศรษฐกิจจีน” ที่มิอาจปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าฐานะประเทศที่มีอัตราส่วนเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว หรือแม้แต่มูลค่าการค้าขายต่างประเทศกับอียูก็แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้วเช่นกัน รวมทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ก็มาเร็ว มาแรง กว่าประเทศใดในโลก จนน่าจะแซงหน้าเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับหนึ่งในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ ฯลฯ...
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากจะว่ากันในเรื่อง “การเมือง” ในฐานะประเทศประชาธิปไตยแบบตะวันตก ที่เคยล่าใครต่อใครเป็น “อาณานิคม” มาโดยตลอด และกำลังตกอยู่ในสภาพ “Westlessness” อยู่จนทุกวันนี้ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรืออียู คงอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปเล่นบท “เท่...แต่ไม่มีจะแ-ก” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย คือคงต้องหาทาง “เท่” หาทาง “เก๋” เอาไว้ก่อนการหันมาเกาะขบวนรถไฟอเมริกา ในการแซงชั่นจีน กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงต้องเป็นไปในแบบ “ย้วยไป-ย้วยมา” ไปด้วยประการละฉะนี้ ไม่ต่างไปจากอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่ต่างต้องทำมาหารับประทานกับจีนไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในแง่ความเก๋ ความเท่ หรือ “ความเป็นประชาธิปไตย” แล้ว คงหนีไม่พ้นต้อง “คลอ” ไปกับคุณพ่ออเมริกาที่กะจะใช้หมากนี้ แนวนี้ ในการต่อสู้และเอาชนะคู่แข่ง คู่กัด ที่กำลังผงาดขึ้นมาหายใจรดต้นคอตัวเอง อย่างจีนและรัสเซียดังที่ “ผู้เฒ่าโจ” ได้ชี้ช่อง ชี้แนว เอาไว้ในเวทีประชุม “MSC” ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วนั่นเอง...
แต่ความพยายามที่จะอาศัยหมากนี้ แนวนี้ หรือพยายามที่จะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” เป็น “จุดศูนย์กลาง” ของนโยบายต่างประเทศอเมริกา ดังที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายแอนโทนี บลิงเคน” ระบุเอาไว้อย่างมั่นอก-มั่นใจ ว่าสามารถทำให้บรรดาประเทศหุ้นส่วนประชาธิปไตยของอเมริกา “ต้องชนะแน่นอน” นั้น มันจะเป็นไปตามนั้น หรือไม่? อย่างไร? อันนี้...คงต้องขออนุญาตเสนอแนะให้ลองไปหาอ่านข้อเขียนบทความของคอลัมนิสต์เอเชียไทมส์ ออนไลน์ “นายเอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” (M.K. Bhadrakumar) อดีตทูตอินตะระเดีย ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา เพิ่งแปลออกมาเผยแพร่แบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง คือเรื่อง “US exceptionalism surges again; Will it fly?” หรือที่มือแปล “ผู้จัดการ” สรุปไว้แบบนิ่มเนียนเอามากๆวiา “จะไหวหรือ??? สหรัฐฯ ยุคไบเดนปัดฝุ่น ชูประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแบบอเมริกา เป็นธงนำนโยบายต่างประเทศ...”
คือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจะประชาธิปไตย จะสิทธิมนุษยชน ถ้าลองขึ้นชื่อว่า “อเมริกา” หรือตามแบบฉบับอเมริกาซะอย่างล้วนแล้วแต่น่าขนลุก ขนพอง น่าหวาดหวั่นขวัญสยองไปด้วยกันทั้งสิ้น ประชาธิปไตยที่อยู่ในกำมือ อุ้งมือ ของคนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อีก 99 เปอร์เซ็นต์ถูกทอดทิ้ง จนต้องลุกฮือขึ้นมาประท้วงแล้ว ประท้วงเล่า ตั้งแต่ยุค “ออคคิวพาย วอลล์สตรีท” โน่นเลย สิทธิมนุษยชนที่เต็มไปด้วยการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ ใช้เข่ากดคอคนผิวสี ผิวดำ ขาดใจตายกันเห็นๆ จนเกิดการประท้วงของพวก “Black lives matter” ไม่จบ-ไม่สิ้น จนตราบเท่าทุกวันนี้ แถมยังลุกลามไปถึงพวกผิวเหลือง อย่างชาวเอเชีย หรือแม้แต่ชาวไทยแลนด์ แดนสยาม ในอเมริกาควบคู่ไปด้วย แม้แต่กระทั่ง “สิทธิแห่งการมีชีวิตอยู่” ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ก็ยังถูกนำไปเซ่นสังเวยให้กับเชื้อไวรัสโควิด จนอเมริกาต้องกลายเป็นประเทศ “จ้าวโรค” ชนิดไม่มีใครสามารถแซงหน้าได้เลย หรือกลายเป็นประเทศที่ผู้คนต้องล้มตายไปเป็นแสนๆ ติดเชื้อไม่รู้กี่ต่อกี่สิบล้าน ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ความพยายามรวบรวม “พันธมิตรอเมริกา” เพื่อต่อต้านจีนและรัสเซีย ไม่ว่าในยุโรป ในอินโด-แปซิฟิก หรือที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ ภายใต้ “มาตรฐาน” เช่นนี้ ส่งผลให้อดีตทูตอย่างท่าน “เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” ท่านเลยอดไม่ได้ต้องตั้งคำถามเอาไว้ประมาณว่า “จะไหวหรือ???” นั่นแล...