จีนเดือด คว่ำบาตรตอบโต้แถมเรียกทูตอียูเข้าพบในวันอังคาร (23 มี.ค.) หลังถูกตะวันตกรวมหัวแซงก์ชันกรณีกวาดล้างมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง นับเป็นมาตรการร่วมกันของนานาชาติต่อปักกิ่งครั้งแรกหลังไบเดนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ นอกจากนั้น ปักกิ่งและมอสโกยังออกคำแถลงร่วมเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ละเว้นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนและรัสเซีย
กลุ่มสิทธิมนุษยชนของฝ่ายตะวันตกเชื่อว่า มีชาวอุยกูรณ์อย่างน้อย 1 ล้านคน และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอื่นๆ ถูกกักขังในค่ายกักกัน ในซินเจียง เขตปกครองตนเองเทียบเท่ามณฑลซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน นอกจากนั้นยังมีบางกลุ่มกล่าวหาปักกิ่งว่า บังคับให้ผู้หญิงทำหมัน ตลอดจนบังคับใช้แรงงานคนเหล่านี้
ข้อกล่าวหาทั้งหมดเหล่านี้ต่างถูกจีนปฏิเสธ โดยยืนยันว่าจีนกำลังทำโครงการฝึกงานและการให้การศึกษาเพื่อช่วยขจัดลัทธิสุดโต่งจากพื้นที่ดังกล่าว
ในวันจันทร์ (22) สหภาพยุโรป (อียู) อังกฤษ และแคนาดา ประกาศขึ้นบัญชีดำอดีตเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ปัจจุบันในซินเจียงจำนวน 4 คน ขณะที่อเมริกาที่แซงก์ชันเจ้าหน้าที่จีนอยู่แล้ว 2 คนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ได้ขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่จีนเพิ่มอีก 2 คนคือ ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะซินเจียง และเจ้าหน้าที่อาวุโสอีกคนในมณฑลดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันอังคาร (23) นิวซีแลนด์และออสเตรเลียออกคำแถลงสนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าว แต่ไม่ได้ออกมาตรการแซงก์ชันจีนโดยตรง
ด้านปักกิ่งตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศแบนเจ้าหน้าที่ยุโรป 10 คน ในจำนวนนี้เป็นสมาชิกรัฐสภายุโรป 5 คน รวมทั้งหน่วยงานสองแห่งของอียู และกลุ่มคลังสมองอีก 2 แห่ง
หลังจากนั้น ฉิน กัง รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ได้เรียกนิโกลาส์ ชาปุยส์ เอกอัครราชทูตอียูเข้าพบ และกระทรวงการต่างประเทศจีนออกคำแถลงตามมาว่า การแซงก์ชันของอียูซึ่งอิงกับการโกหกและข้อมูลเท็จเกี่ยวกับซินเจียง ไม่เป็นไปตามกฎหมายและไร้เหตุผล พร้อมเรียกร้องให้อียูแก้ไขข้อผิดพลาดร้ายแรงนี้และยุติการเผชิญหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน
เห็นกันว่า มาตรการร่วมกันของชาติตะวันตกครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดพลิกเปลี่ยนของแนวทางที่ฝ่ายตะวันตกจะใช้กับจีน ทั้งนี้ ภายใต้คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน วอชิงตันหันมาร่วมมือกับพันธมิตรในการจัดการกับจีนทั้งประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง การปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง และการละเมิดกติกาการค้า
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา กล่าวในวันจันทร์ว่า จีนยังคงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในซินเจียง และเรียกร้องให้ปักกิ่งยุติการกดขี่ชาวอุยกูร์
ทางด้านจีนนั้น นอกจากประกาศมาตรการแซงก์ชันตอบโต้บรัสเซลส์แล้ว ยังร่วมกับรัสเซียออกคำแถลงเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จัดประชุมสุดยอดประเทศสมาชิกถาวร
คำแถลงร่วมที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารบนเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียภายหลังการประชุมระหว่างเซียร์เก ลาฟรอฟ และหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียและจีนตามลำดับนั้น ระบุว่า ในช่วงเวลาที่การเมืองโลกปั่นป่วนวุ่นวายมากขึ้นในขณะนี้ การประชุมสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้มีการเจรจาโดยตรงเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหาที่มนุษยชาติเผชิญร่วมกันในการปกป้องเสถียรภาพของโลก
แม้คำแถลงร่วมไม่ได้พาดพิงอเมริกาโดยตรง แต่ลาฟรอฟกล่าวในงานแถลงข่าวหลังการประชุมกับหวัง ว่า มอสโกและปักกิ่งไม่พอใจพฤติกรรมของวอชิงตัน ซึ่งยังอิงกับการเป็นพันธมิตรทางการเมืองและการทหารสมัยสงครามเย็น และพยายามทำลายกรอบโครงกฎหมายระหว่างประเทศ
คำแถลงร่วมของปักกิ่ง-มอสโกยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ละเว้นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนและรัสเซีย โดยลาฟรอฟสำทับว่า รัสเซียและจีนมองว่ามาตรการแซงก์ชันของยุโรปและตะวันตกเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
รัสเซียนั้นกำลังจะถูกอเมริกาแซงก์ชันรอบใหม่จากข้อกล่าวหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020
นอกจากนี้ ลาฟรอฟยังกล่าวหาอียูว่า กำลังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน และว่าขณะนี้มอสโกมีความสัมพันธ์ระดับประเทศเท่านั้นในยุโรป
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)