จีนแถลงในวันเสาร์ (20 มี.ค.) ว่า ได้ตกลงเห็นพ้องกับสหรัฐฯในการต่อสู้กับเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ตลอดจนประเด็นปัญหาอื่นๆ อีกสองสามเรื่อง ถือเป็นสัญญาณแสดงถึงความก้าวหน้าที่อาจเกิดขึ้นมาถึงแม้จะเล็กๆ น้อยๆ ณ การเจรจาหารือของสองประเทศเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวจากการปะทะคารมกันอย่างไม่มีลดราวาศอกกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนระบุในรายงานข่าวจากอะแลสกา สถานที่จัดการประชุมระดับสูงเป็นเวลา 2 วันที่เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันศุกร์ (19) ว่า จีนและสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งกลุ่มทำงานว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และจัดการพูดจา “เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กิจกรรมต่างๆ ของ ...คณะนักการทูตและคณะทำงานกงสุล” รวมทั้งในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ของกันและกัน
อย่างไรก็ดี พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ บอกว่าไม่ได้มีการตกลงอย่างเป็นทางการใดๆ ในเรื่องการรื้อฟื้นการพูดจาสนทนาใดๆ หรือการเริ่มต้นความริเริ่มใหม่ๆ ใดๆ เรื่องนี้ส่อแสดงว่าความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายยังมีความยากลำบากที่จะฝ่าข้าม
ประเทศทั้งสองมีการวิวาทกันอย่างรุนแรงและตอบโต้กันไปมา ในเรื่องการออกวีซ่าให้แก่พวกนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ ตลอดจนเรื่องสถานกงสุลของอีกฝ่ายหนึ่ง ในสมัยคณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่เรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศถูกมองว่าเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งสองประเทศน่าจะสามารถร่วมมือกันได้
อย่างไรก็ตาม ในการพบปะหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสแบบเจอหน้ากันจริงๆ เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่คณะบริหารไบเดนเข้าปกครองประเทศเมื่อเดือนมกราคม ในวันพฤหัสบดี (19) และวันศุกร์ (20) ที่ผ่านมา ที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกาคราวนี้ เปิดฉากขึ้นมาด้วยความตึงเครียด และมีการพูดจาตอบโต้แบบไม่มีการออมมือเข้าใส่กันต่อหน้ากล้องทีวี ก่อนที่จะเข้าสู่วาระปิดประตูพูดจากันเป็นการภายใน
คณะของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน กับ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ เจค ซุลลิแวน ได้กระทำในสิ่งที่ได้ประกาศเอาไว้ต่อสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ นั่นคือเพิกเฉยไม่แยแสต่อสิ่งซึ่งฝ่ายจีนถือเป็น “เส้นสีแดงที่ห้ามล่วงละเมิด” ด้วยการหยิบยกพวกประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอันอ่อนไหวในจีนขึ้นมาพูดตรงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง หรือการปราบปรามการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง รวมทั้งระบุว่า ฝ่ายสหรัฐฯจะ “หารือถึงความกังวลอย่างล้ำลึกของเราเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ ของจีน รวมทั้งในซินเจียง, ฮ่องกง, ไต้หวัน, การโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ และการใช้อำนาจบังคับในทางเศรษฐกิจต่อพวกพันธมิตรของเรา”
ทางฝ่ายจีน ที่มี หยาง เจียฉือ สมาชิกกรมการเมือง และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับ หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ก็ตอบโต้เอาคืนว่า สหรัฐฯนั่นแหละคือ “แชมเปี้ยน” ในเรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ และตั้งคำถามต่อการที่สหรัฐฯวางตัวสูงส่งสอนสั่งคนอื่นในเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
“สงครามต่างๆ ในโลกนี้เปิดฉากขึ้นโดยประเทศอื่นๆ บางประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาล” หยางเหน็บแนมสหรัฐฯ และกล่าวต่อไปว่า “เราไม่เชื่อในเรื่องการรุกรานโดยผ่านการใช้กำลัง หรือการโค่นล้มระบอบปกครองของคนอื่นๆ โดยผ่านวิธีการต่างๆ หลายหลาก หรือการสังหารหมู่ประชาชนของประเทศอื่นๆ เพราะทั้งหมดเหล่านี้มีแต่เป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความไร้เสถียรภาพขึ้นในโลกนี้ และถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้จะไม่ให้ผลดีแก่สหรัฐฯหรอก”
“ดังนั้น เราเชื่อว่ามันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสหรัฐฯที่จะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนเอง และที่จะหยุดยั้งการผลักดันประชาธิปไตยของตนเองไปให้แก่ประเทศอื่นๆ ในโลก” หยางพูดตรงๆ แถมตีแสกหน้าเรื่องสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯว่า “ประชาชนจำนวนมากภายในสหรัฐฯแท้ที่จริงก็ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในประชาธิปไตยของสหรัฐฯ” โดยยกตัวอย่างเรื่องที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเล่นงานชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และการประท้วงของขบวนการ “แบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์”
“จีนจะไม่ยอมรับการกล่าวหาอย่างไม่ชอบธรรมจากฝ่ายสหรัฐฯ” หยางบอก พร้อมกับเสริมว่า พัฒนาการที่เกิดขึ้นช่วงหลังๆ นี้ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองถลำลงสู่ “ยุคแห่งความยากลำบากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน” ซึ่ง “ได้สร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์ของประเทศทั้งสอง”
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือคราวนี้แล้ว หวัง อี้ ได้บอกกับสื่อจีนว่า “ฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ควรที่จะประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง ในเรื่องความเด็ดเดี่ยวตั้งใจของจีนที่จะปกป้องอธิปไตยแห่งชาติ, ความมั่นคง และผลประโยชน์ต่างๆ แห่งการพัฒนา”
จนถึงเวลานี้คณะบริหารไบเดนยังไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ว่า จะถอยกลับออกจากจุดยืนแข็งกร้าวที่ยึดถือมาตั้งแต่ยุคคณะบริหารทรัมป์หรือไม่ เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้มีอำนาจที่จะนำเอาสิ่งที่พูดจากกันเป็นการภายในมาถ่ายทอดต่อสาธารณชน รวมทั้งพูดคราวนี้โดยขอให้สงวนนามด้วยนั้น กล่าวว่ามีเรื่องอยู่สองสามเรื่อง “ในเส้นทางปกติของการมีปฏิสัมพันธ์ทางการทูตของเรา ที่เราอาจจะสามารถสำรวจหาลู่ทาง” ในการร่วมมือกัน แต่ก็กล่าวต่อไปว่า ตอนน้ยังไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการใดๆ เกี่ยวกับการเจรจาหารือครั้งใหม่ใดๆ ทั้งนั้น
ในข่าวของซินหัวก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับกลุ่มทำงานเรื่องความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นอกจากบอกว่าทั้งสองประเทศให้คำมั่นสัญญาที่จะส่งเสริมการสื่อสารกันและความร่วมมือกันในเรื่องนี้
ซินหัวบอกด้วยว่า ในการเจรจากันคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการปรับนโยบายการเดินทางและการออกวีซาช่วงโควิด-19 ระบาด และการทำความตกลงแบบต่างตอบแทนในเรื่องการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่ด้านการทูตของพวกเขา
(ที่มา : เอพี, เอเจนซีส์)