MGR ONLINE--จีนกำลังเปิดม่านกิจกรรมการเมืองใหญ่ประจำปีของประเทศ ที่เรียกว่า “การประชุมสองสภา” ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ ได้แก่ การประชุมสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน หรือ NPC (National People’s Congress) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติ และการประชุมสภาปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีน หรือ CPPCC (Chinese People’s Political Consultative Congress) ซึ่งเป็นกลไกปรึกษาการเมืองสูงสุดของแดนพญามังกร
วงในมองว่า “การประชุมสองสภา” (Two sessions/两会) ปีนี้มีความสำคัญอย่างมากในการผลักดันวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเพื่อสร้างอนาคตของประเทศต่อจากนี้ไปหลังจากที่ลุยศึกเสือเหนือใต้อย่างสาหัสทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ
ปีนี้ยังเป็นจังหวะเวลาสำคัญของจีนโดยเป็นปีเริ่มดำเนินแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ระยะเวลา 5 ปี ฉบับล่าสุดของจีน ดังนั้นในการประชุมสองสภาจึงเป็นโอกาสทองที่กลุ่มผู้นำทั่วประเทศจะเสนอแผนระยะยาวต่างๆเพื่อผลักดันความคิดของสี จิ้นผิง และอนาคตของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในปีที่ผ่านมา จีนประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคโควิด-19 ภายในประเทศ และยังสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้ ซึ่งแตกต่างราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับกลุ่มชาติตะวันตกหลายประเทศที่ยังดิ้นรนอย่างหนักหน่วงในการควบคุมโรคระบาด นอกจากนี้ยังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในชาติมหาอำนาจคือเหตุการณ์โจมตีตึกรัฐสภาในวอชิงตันเมื่อเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตามจีนเองก็ยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายด้านทั้งปัญหาภายในและต่างประเทศ
กลุ่มผู้นำระดับสูงของจีนหลายคนที่ถูกสหรัฐฯคว่ำบาตรในข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในเขตปกครองของชนชาติอุยกูร์ในซินเจียงและในฮ่องกง จะต้องมาชี้แจงในการประชุมใหญ่ประจำต้นปีเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายภายในประเทศที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศบานปลาย
ประเด็นถกเถียงในการประชุม ยังรวมถึงความผิดพลาดในการรับมือเชื้อโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโรคโควิด-19 ในช่วงเริ่มเกิดการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเด็นไต้หวัน ความขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทะเลจีนใต้ ศึกปะทะชายแดนกับอินเดียที่ยืดเยื้อ ปัญหาเหล่านี้ทำลายภาพลักษณ์ของจีนบนเวทีโลก และอาจเกิดการโต้ตอบจากนานาชาติที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินแผนเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ปักกิ่งก็หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ในสหรัฐอเมริกาที่นำโดยนาย โจ ไบเดน จะเปิดทางช่วยให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯดีขึ้นไม่มากก็น้อย
ในปีนี้ สีจิ้นผิงต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมืองไม่เบาเนื่องจากเป็นปีครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งสีได้ประกาศจัด “งานเฉลิมฉลองใหญ่” ในเดือนก.ค.ที่จะถึงนี้
ประมุขสีได้ส่งสัญญาความเชื่อมั่นในทิศทางที่พรรคฯและประเทศกำลังก้าวเดินต่อไป และได้บอกกับผู้นำระดับสูงสุดในเดือนม.ค.ว่า “ขณะที่โลกกำลังเผชิญมรสุมใหญ่...แต่เรา (จีน)มีโอกาสและพลังในการผลักดันสิ่งต่างๆอยู่ในมือ”
แต่สีก็เตือนว่าประเทศกำลังเผชิญหน้ากับทั้งโอกาสและความท้าทายอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน พร้อมบอกกับกลุ่มผู้นำในโปลิตบูโร หรือสภากรมการเมืองซึ่งเป็นองค์กรอำนาจสูงสุดของประเทศว่า ผู้นำต้องสร้าง ‘เงื่อนไขทางสังคมที่เอื้ออำนวย’ สำหรับการเฉลิมฉลองใหญ่ในปีนี้ ขณะที่ นาย เจ้าเค่อจื้อรัฐมนตรีกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจสูงสุดจัดมาตรการเต็มสูบในการรักษาความสงบเรียบร้อยทางสังคมและการเมืองก่อนงานเฉลิมฉลองใหญ่ในเดือนก.ค. คุมเข้มตรวจตราปัญหาท้าทายต่อรัฐทั้งหมดรวมทั้ง “สนามรบในโลกออนไลน์”
แม้กระทั่งว่าจีนได้ประกาศชัยชนะในการควบคุมโรคระบาดแล้วก็ตาม แต่โควิด-19 ยังเป็นภัยคุกคามในจีน โดยเมื่อปลายเดือนที่แล้วเกิดการระบาดในเหอเป่ยซึ่งเป็นมณฑลเพื่อนบ้านติดกับนครหลวงปักกิ่ง
จีนนับเป็นชาติอำนาจเศรษฐกิจหลักรายเดียวในโลกที่ประคับประคองอัตราเติบโตเศรษฐกิจปีที่แล้วอยู่ในแดนบวก และยังต้องการเริ่มต้นเฟสใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสง่างามในการประกาศแผนพัฒนาระยะเวลาห้าปีฉบับใหม่
นอกจากนี้ยังเป็นที่คาดว่าผู้นำจีนจะประกาศ “วิสัยทัศน์ 2035” (2035 vision) ของประเทศ ซึ่งเป็นร่างพิมพ์เขียวสำหรับการพัฒนาใน 15 ปีข้างหน้า
ในเดือนพ.ย. สีกล่าวถึงเป้าหมายอันสูงส่งโดยบอกกับกลุ่มผู้นำว่า “จีนจะกลายเป็นชาติที่มีรายได้สูงในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯห้าปีฉบับที่ 14 (2025) และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัวในปี 2035
ขณะนี้วงการเมืองโลกกำลังจับตาและเงี่ยหูฟังการประกาศนโยบายของผู้นำแดนมังกร จะมีรายละเอียดอะไรออกมาอีกบ้าง แต่ในการบรรลุเป้าหมายทั้งหลายทั้งปวงของจีนยังต้องยกระดับเศรษฐกิจ และเดินหน้าต่อในการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำ (low-cost manufacturing) ไปสู่การผลิตไฮเทคหรือคุณภาพสูง
จากเอาท์ไลน์แผนพัฒนาฯห้าปีที่เปิดเผยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาจีนกำลังผลักดันความต้องการผู้บริโภคภายในประเทศ และการพึ่งตนเองในภาคไฮเทค โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน (Dual Circulation Strategy/ 双循环)
ทั้งนี้จีนได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนานนี้ขึ้นในปลายปีที่แล้ว(2020) เพื่อรับมือกับปัญหาและความไม่แน่นอนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในระยะกลางและระยะยาว โดยกำหนดให้วงจรเศรษฐกิจภายในประเทศมีบทบาทนำ ขณะที่วงจรเศรษฐกิจระหว่างประเทศยังเป็นส่วนเสริม
“ยุทธศาสตร์วงจรคู่”นี้เกิดจากการที่ผู้นำจีนมองสิ่งแวดล้อมภายนอก ได้แก่ ลัทธิกีดกันการค้าที่ทวีความรุนแรง ภาวะชะลอตัวเศรษฐกิจโลก และตลาดโลกที่หดตัวลง ดังนั้นจึงต้องระดมทรัพยากรภายในและพุ่งเป้าทุ่มเทจัดการกิจการต่างๆภายในบ้านให้ดี โดยให้ตลาดขนาดมหึมาของประเทศที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้าน ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ดังนั้น การพัฒนาแบบใหม่ของจีนจะสร้างตลาดภายในและตลาดต่างแดนให้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยที่ตลาดภายในเป็นกำลังหลัก
“เราถูกโจมตีจากปัญหาความเสี่ยงจากภายนอกมามากพอแล้วนับตั้งแต่ปฏิรูปและเปิดประเทศมา เราต้องสร้างเกราะป้องกันอันตรายโดยหันมามุ่งดูแลจัดการเรื่องของเราเอง หาที่ยืนอย่างมั่นคงภายในบ้าน” สี บอกกับที่ประชุมพรรคฯเมื่อปลายปีที่แล้ว