อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้? “ดร.สุวินัย” เตือนอย่าทำพลาด! ยกบทเรียนและอุทาหรณ์ “สงครามกลางเมือง” ใน “ซีเรีย-เมียนมา” ใกล้ตัวคนไทย “ไพศาล” ปชช.เลือกข้างแล้ว “กาเหว่า” แพ้ “กูรู” ชี้ อหังการ “ทอน” เดินเกมผิด
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 มี.ค. 64) เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ว่ากันว่า สงครามกลางเมืองในซีเรีย มีผู้เสียชีวิตถึง 400,000 คน ใน 8 ปี และมีผู้อพยพถึงห้าล้านคนจากประชากรในประเทศสิบล้านคน
หายนะมาเยือนซีเรียเมื่อมหาอำนาจส่งอาวุธและกองทัพเข้าสู้รบกัน โดยใช้ซีเรียเป็นสมรภูมิทำ “สงครามตัวแทน”
กรณีของซีเรียเป็นทั้งบทเรียนและอุทาหรณ์ว่า ...เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งของผู้คนในประเทศถึงขั้นแตกหัก จนลุกออกมาทำสงครามกลางเมืองกัน เมื่อนั้นมันจะไปสู่เส้นทางหายนะทางประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นที่ไม่มีทางย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่ได้
จะมาสำนึกเสียใจในตอนนั้น ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
การตัดสินใจรวมหมู่โดยเลือกที่จะก่อสงครามกลางเมืองแบบ “ตายเป็นตาย ยอมแพ้ไม่ได้” ของผู้คนในประเทศนั้นที่แตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง... คือ สิ่งที่กำหนดอนาคตของประเทศนั้นให้ดำดิ่งลงเหวสู่หายนะ
#ขณะนี้ประเทศเมียนมาได้เดินตามรอยเส้นทางหายนะของซีเรียไปเรียบร้อยแล้ว
การฆ่าพรากชีวิตผู้ลุกออกมาต่อต้าน มีแต่นำไปสู่การฆ่าที่ไม่สามารถยับยั้งได้ ...ซึ่งจะ #นำไปสู่ภาวะสงครามกลางเมืองที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
นี่คือการตัดสินใจผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ของชนชั้นนำเมียนมาทั้งสองขั้วอำนาจที่แก่งแย่งอำนาจรัฐกันอยู่ในตอนนี้
ชนชั้นนำฝ่ายหนึ่งมีกองทัพ (ปากกระบอกปืน) เป็นเครื่องมือต่อสู้รักษาอำนาจ
#ชนชั้นนำอีกฝ่ายหนึ่งมีประชาชนที่เป็นชนชั้นกลางในเมืองเป็นหมากเบี้ย ในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ
โดยที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายล้วนจ้องเมียนมาตาเป็นมัน เพื่อหวังให้เมียนมาเป็นสมรภูมิทำ “สงครามตัวแทน” เหมือนอย่างซีเรีย
อย่าไปหลงเชื่อผิดๆ ว่า เรื่องนี้มีฝ่ายพระเอกและฝ่ายผู้ร้าย
อย่าไปมองเรื่องนี้แบบคนโรแมนติกหรือคนโลกสวยเป็นอันขาด
จงเปิดตามองเรื่องนี้ตามความเป็นจริง อย่างที่มันเป็นเถิด
#วิกฤตสงครามกลางเมืองในเมียนมาเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวคนไทยและประเทศไทยมากๆ
คนไทยทุกคนจะตัดสินใจรวมหมู่ผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด”
ขณะเดียวกัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“ยังคงยืนยันว่า กาเหว่าแพ้แล้ว!!!
ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงผลการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศในครั้งนี้ คือ หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า
ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศไม่เอาด้วยกับกาเหว่า
คือ หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า กาเหว่าแพ้แล้ว
ดังนั้น นับแต่วันนี้ไป บรรดากาเหว่าทั้งหลายไม่มีสิทธิโกหกว่า ตัวเองเป็นฝ่ายประชาชน
หรือเป็นผู้แทนประชาชนอีกต่อไปแล้ว
และแท้จริงนั้น กาเหว่าก็เป็นปรปักษ์ของประชาชนไปแล้ว!!! ประชาชนไทยไม่มีวันยอมให้ใครมาล่าประเทศไทยเป็นอาณานิคมโดยเด็ดขาด!!!”
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กเพจคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“4 ปีนับจากนี้ เราจะทำเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ว่า ผู้บริหารท้องถิ่น สามารถสร้างอนาคตใหม่ให้กับประชาชนได้ คณะก้าวหน้าขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากประชาชน ที่ออกมาเลือกทีมเทศบาลคณะก้าวหน้าทั่วประเทศ ปลายปากกาของท่านได้เปิดโอกาสให้นักการเมืองที่มีความตั้งใจ มีวิสัยทัศน์ ได้เข้าไปใช้ความสามารถพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองในกว่า 10 ท้องถิ่น
4 ปีนับจากนี้ เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ว่าผู้บริหารท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่า ก้าวหน้ากว่า ให้กับพื้นที่ของตัวเองได้ เราจะเร่งทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้โดยเร็วที่สุด โดยอยู่บนหลักการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และประชาชนมีส่วนร่วมกับการบริหารท้องถิ่นในทุกมิติ 4 ปีนับจากนี้ คณะก้าวหน้าจะทำเต็มที่ เพื่อบ้านของเราทุกคน
เช่นเดียวกับ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ทวีตข้อความ ระบุว่า ขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน และยินดีกับว่าที่นายกเทศมนตรีคณะก้าวหน้าทุกคนค่ะ งานหนักรออยู่ เรามีเวลา 4 ปี เพื่อพิสูจน์ว่าผู้บริหารทองถิ่นคณะก้าวหน้าจะสร้างอนาคตใหม่ที่ก้าวหน้าและก้าวไกลกว่าให้กับประชาชนได้แค่ไหน
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้ง สมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 2,472 แห่งทั่วประเทศ คณะก้าวหน้าได้มา 10 กว่าแห่ง คิดเป็น 0.5% ของจำนวนเทศบาลทั่วประเทศ
นอกจากนี้ หลังจากคณะก้าวหน้า โดยการนำของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัครนายกเทศมนตรีทั้งประเทศ ประมาณ 100 กว่าแห่ง โดยผลการเลือกตั้งที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ คณะก้าวหน้าได้เก้าอี้ระดับเทศบาลมา คือ นายกเทศมนตรีตำบล 12 แห่ง แยกเป็น ลำพูน 1 แห่ง, ร้อยเอ็ด 3 แห่ง, หนองบัวลำภู 3 แห่ง, อุดรธานี 2 แห่ง, มุกดาหาร 2 แห่ง และสมุทรปราการ 1 แห่ง นั้น
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ติดตามเรื่องการเมืองการเลือกตั้งท้องถิ่นมาต่อเนื่อง มองผลการเลือกตั้งระดับเทศบาลทั่วประเทศที่ออกมาว่า
คณะก้าวหน้าปูทางตัวเองในสนามท้องถิ่นมาจากความสำเร็จในระดับชาติ (อดีตพรรคอนาคตใหม่) เลยทำให้คณะก้าวหน้ามีความฮึกเหิม ลงมาเล่นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นแบบเล่นใหญ่และคาดหวังสูง โดยวางน้ำหนักไว้ที่องค์การบริหารจังหวัด (อบจ.) มากที่สุด เห็นได้จากการส่งคนลงชิงนายก อบจ.ร่วม 42 จังหวัด รวมถึงการส่งคนลงชิงสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอีกจำนวนมาก
ซึ่งเมื่อไปเน้นสนาม อบจ. ในตอนแรก เลยทำให้คณะก้าวหน้า มองข้ามความสำคัญของสนามเทศบาลไป ทั้งที่จริงๆ โดยศักยภาพของคณะก้าวหน้า เหมาะที่จะไปเล่นสนามเทศบาลมากกว่า อบจ. ในแง่เป็นกลุ่มการเมืองที่เน้นคนรุ่นใหม่ เน้นฐานเสียงที่เป็นอิสระในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับผู้นำท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น ไม่ต้องพึ่งพาการอุปถัมภ์ภายในจังหวัด ทำให้สนามเทศบาลจะเหมาะกับคณะก้าวหน้ามากกว่าสนาม อบจ.
เพราะอย่างไอเดียการหาเสียงตอนคณะก้าวหน้าใช้หาเสียงตอนเลือกตั้ง อบจ. หลายเรื่องใช้ได้ดีกับเทศบาล ไม่ใช่ใช้กับ อบจ. เพราะสิ่งที่คณะก้าวหน้าหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้ง อบจ. ในความเป็นจริงแล้ว อบจ. ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่คณะก้าวหน้าหาเสียง แต่เป็นการเมืองในระดับเทศบาลที่จะทำ
อย่าง เรื่องงบประมาณ เทศบาลมีงบเยอะกว่า อบจ.และเป็นงบพัฒนาทั้งสิ้น เช่น เทศบาลนครนนทบุรี มีงบถึง 2,600 ล้านบาท ที่ท้องถิ่นสามารถนำงบไปพัฒนาในพื้นที่ เช่น การทำโครงการหรืองานด้านบริการประชาชนได้มากมาย แต่เมื่อคณะก้าวหน้าไปเทน้ำหนักไว้ที่ อบจ. ทำให้พอมาถึงสนามเทศบาลเลยดูดาวน์ลง ไอเดียต่างๆ ก็ปล่อยออกไปหมดแล้วตอน อบจ. แล้วก็ล้มเหลว แทนที่คณะก้าวหน้าจะเก็บไอเดียเหล่านั้นมาใช้ตอนเลือกตั้งเทศบาล ที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
“พอคณะก้าวหน้าวางแผนมาผิด ก็ต้องรับสภาพไป ทั้งที่สนามเทศบาล โอกาสดีกว่า อบจ. คณะก้าวหน้า ควรจับสนามเทศบาลไว้แต่แรกมากกว่า ไม่ควรไปมองสนาม อบจ.ที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา เพราะขายังไม่แข็งพอเขาก็ต้องไปทบทวนอีกเยอะ การเมืองรอบนี้ตั้งแต่ระดับชาติไล่ลงมา ก็สอนอะไรกลุ่มเขาเยอะ” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า ระบุ...(จากไทยโพสต์)
แน่นอน, สิ่งที่ ดร.สุวินัย ยกบทเรียนและอุทาหรณ์จากสงครามกลางเมือง ใน “ซีเรีย-เมียนมา” มาให้คนไทยได้คิด และเตือนตัวเองเอาไว้ให้มั่น อย่าทำผิดพลาดอย่างทั้งสองประเทศนั้น ถือว่า ยังไม่สายเกินไป และก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองขั้วขัดแย้ง ว่า จะคิดถึงประชาชน และประเทศชาติอย่างที่กล่าวอ้างแค่ไหน ไม่เฉพาะแค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคิดได้ แล้วก็จบ เพราะอาจมีบางฝ่ายเชื่อว่าความรุนแรงและสงครามกลางเมืองเท่านั้น ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างที่พวกเขาต้องการได้ คนไทยจะดับฝันคนพวกนี้อย่างไร? คือ ประเด็น
อีกอย่างที่น่าวิเคราะห์ก็คือ การประกาศตัวสนับสนุนการชุมนุมของม็อบ 3 นิ้วอย่างชัดแจ้ง รวมทั้งสนับสนุนข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่ 1 ใน 3 ชัดเจนว่า มีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูง นั่นคือ “การปฏิรูปสถาบันฯ” แถมแกนนำบางคนยังขู่ว่า ถ้าไม่ปฏิรูประวังจะถูกปฏิวัติ
รวมทั้งไม่เคยออกมาติงเตือนการแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรงของแกนนำและมวลชนม็อบ 3 นิ้ว อย่างที่โดนคดีกันเป็นระนาวอยู่ในเวลานี้ แต่ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ปะทะกับผู้ชุมนุม ทั้งที่เกิดจากฝ่ายผู้ชุมนุมก่อเหตุรุนแรง แกนนำคณะก้าวหน้า อย่าง นายธนาธร และ นายปิยบุตร จะออกมาตำหนิ และโจมตีเจ้าหน้าที่ว่าใช้ความรุนแรงทันที
สิ่งเหล่านี้ ประชาชนต่างรู้เห็น และเป็นกระแสข่าวผ่านสื่อมวลชนตลอด ทำให้ประชาชนเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า คนคณะนี้ มีเป้าหมายอะไร แม้ไม่พูดออกมาตรงๆ
สุดท้าย วันเลือกตั้ง ก็เป็นวันพิพากษาของประชาชน นี่คือความงดงามตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ประชาชนคิดได้ โดยไม่ต้องมีใครไปชี้นำว่า
ต้องปฏิรูปเจ้าเสียก่อนจึงจะดีขึ้น?
ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ ความไม่รู้สำนึกว่า ตัวเองผิดอะไร ทำไมประชาชนไม่เอาด้วย ทำไมประชาชน ต่อต้าน นี่สิ น่าเป็นห่วง และน่ากลัวว่า จะนำภัยร้ายแรงมาสู่คนไทย และประเทศไทยในที่สุด ถ้ายังไม่ยอมรับความจริงเสียแต่ตอนนี้