คณะนายทหารพม่านำโดยพล.อ.มิน อ่อง หล่าย คงตระหนักแล้วว่าการจะอยู่ในอำนาจหลังจากการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้จะไม่ง่ายเพราะประชาชนลุกฮือต่อต้านทั่วประเทศไม่กลัว ทั้งคำขู่ว่าจะใช้กำลังหลังจากประกาศมาตรการเข้ม
นอกจากประกาศห้ามออกนอกบ้านยามค่ำคืนแล้วยังห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คนซึ่งเป็นความพยายามที่จะสกัดการชุมนุมประท้วงซึ่งลามไปทั่วประเทศนอกจากเมืองใหญ่เช่น ย่างกุ้ง เนปิดอว์ และมัณฑะเลย์ ล่าสุด กล้าใช้ความรุนแรงปราบปรามแล้ว
ประชาชนพม่ารู้ซึ้งเช่นกันว่าเดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงนักสำหรับกองทัพพม่า และกลุ่มผู้ต่อต้านการยึดอำนาจ ดังนั้นการลุกฮือด้วยการสไตรก์ทั่วประเทศจึงเป็นมาตรการอารยะขัดขืนที่น่าจะได้ผล
การชุมนุม 5 วันมีผู้บาดเจ็บหลายรายและมีสตรีหนึ่งรายถูกยิงเข้าศีรษะ ซึ่งยังมีความสับสนเกี่ยวกับข้อมูลว่าเป็นการถูกยิงจากกระสุนจริงหรือกระสุนยางนอกเหนือจากการฉีดน้ำสกัด ล่าสุดแพทย์พยายามช่วยเหลือสตรีให้รอดจากอาการสาหัส
เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ามาตรการเข้มของคณะรัฐประหารพม่าไม่สามารถห้ามประชาชนได้ เพราะรู้ดีว่าถ้าหากดำเนินต่อไปจะมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของประเทศ ถ้าหากกองทัพถูกต่อต้านอย่างรุนแรงโดยประชาชน
ที่ผ่านมาการใช้กำลังโดยภาครัฐยังคงจำกัดอยู่เพียงตำรวจซึ่งเป็นเพียงการฉีดน้ำ การยิงแก๊สน้ำตา และปะทะกันเป็นบางช่วงแต่ยังไม่มีกองกำลังทหารมาเกี่ยวโยงอย่างเต็มที่ ซึ่งประชาชนก็พยายามแยกตำรวจออกจากทหาร
การออกมาชุมนุมมีคนร่วมหลายหมื่นจนถึงหลักแสนติดต่อกัน จึงเป็นสัญญาณชัดเจนว่าการต่อต้านมีพลังแข็งแกร่งและจะไม่ยอมจำนนง่ายๆ นอกจากประชาชนยังมีข้าราชการหลายหน่วยงานกลุ่มแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย
กลุ่มพลังนิสิต นักศึกษา และคนวัยทำงานจึงเป็นกำลังสำคัญในการแสดงออกต่อต้านรัฐบาลใหม่ จะเห็นได้ชัดว่า ครั้งนี้ผู้ชุมนุมใช้ยุทธศาสตร์ซึ่งสตรีจะอยู่เป็นกลุ่มแรกเพื่อป้องกันไม่เกิดการใช้กำลัง และเสี่ยงต่อการถูกประณามรุนแรง
ในภาคเอกชนคนงานจึงประกาศหยุดงานทั่วประเทศ ทั้งธนาคาร และกิจการต่างๆทำให้ธุรกิจแทบจะหยุดชะงักเพื่อแสดงให้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในกลุ่มประชาชน ซึ่งทนต่อไปไม่ได้ถ้าจะมีเผด็จการทหารครองอำนาจต่อไป
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มประสงค์เข้าร่วมและถือว่าเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันที่ข้าราชการกระทรวงสำคัญเช่นต่างประเทศและคลังมีบทบาทชัดเจนทำให้มีน้ำหนักมากในการแสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงการไม่ยอมรับเผด็จการทหาร
นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้แถลงการณ์เพียงหนึ่งครั้งหลังจากการรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ประชาชนเคารพกฎหมาย และอ้างว่าจะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้นำรัฐประหารและละเมิดกฎหมายเสียเอง
ประชาชนพม่ารู้ดีว่าถ้ายอมครั้งนี้กองทัพพม่าอาจจะฉวยโอกาสกุมอำนาจต่ออีกนาน แม้คำประกาศช่วงแรกจะบอกว่าอยู่เพียงหนึ่งปี เพื่อวางโครงสร้างใหม่ในระบบการเลือกตั้งให้เหมาะสม แต่ไม่มีหลักประกันอะไรที่บ่งชี้ว่าทหารจะยอมคายอำนาจ
ประชาชนพม่าหวังว่าจะมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากนานาประเทศและองค์กรต่างๆ ต่อกองทัพพม่าเพื่อให้คลายล็อก และเปิดทางให้การเมืองภาคประชาชนเดินหน้าต่อไป
ถ้าประชาชนยอมจะต้องตกอยู่ในยุคมืดยาวนานเหมือนช่วง 50 ปีหลังจากการรัฐประหารในยุคนายพลเนวินในปี 1962 แต่ขณะนี้ประชาชนได้คุ้นกับบรรยากาศอิสระ เสรีภาพหลังจากการเมืองภาคพลเรือนชนะการเลือกตั้งในปี 2015
นั่นเป็นการได้สร้างบรรยากาศของความแตกต่างจากยุคเผด็จการทหารช่วงนั้น
การตั้งคณะผู้บริหารสูงสุดคุมคณะรัฐมนตรีเป็นสัญญาณว่ากองทัพยังจะอยู่ในอำนาจยาวนาน เพราะเวลาเพียง 1 ปีนั้นสั้นเกินไปที่จะทำอะไรได้ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ การกระชับอำนาจ วางรากฐานต่อเนื่องเป็นเรื่องจำเป็น
ถ้าจะลงจากหลังเสือในเวลา 1 ปี จะเป็นอันตรายเกินไปสำหรับพวกนายพลด้วย
ผู้นำกองทัพพม่าก็รู้ดีว่า ตัวเองไม่ได้รับการชื่นชอบจากประชาชนและประชาคมโลก เนื่องจากความทะเยอทะยานในการคุมอำนาจและผลประโยชน์มหาศาลด้านการผลิต และสัมปทานในการจัดการร่วมทุนกับภาคธุรกิจพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
ถือว่าเป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของผู้นำกองทัพพม่าว่าจะตัดสินใจกล้ากระทำมากถึงขั้นไหนในการปราบปรามการเดินขบวนประท้วง และจะกล้าฆ่าหรือทำร้ายผู้ประท้วงอย่างสันติหรือไม่ ทั้งไม่หวั่นกับการประณามจากนานาประเทศ
อย่างที่ได้เห็น ประชาชนพม่าโดยใช้วิธีทั้งอารยะขัดขืนโดยการเคาะภาชนะยามค่ำคืน และกดแตรรถยนต์นอกจากการเดินขบวนประท้วงซึ่งเห็นความหลากหลายของประชาชน และวิธีการที่ใช้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะใช้มาตรการยืดเยื้อ
มาตรการคว่ำบาตรโดยนานาประเทศต่อผู้นำกองทัพพม่า น่าจะเป็นวิธีได้ผลเพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแรง แม้พม่าจะพึ่งประเทศจีนซึ่งมีความเห็นใจต่อกองทัพพม่าก็ตาม
แต่การที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนยุคสังคมนิยมช่วงก่อนหน้านี้คงจะไม่ง่ายสำหรับบรรยากาศปัจจุบัน พลังของโซเชียล มีเดียจะทำให้กองทัพไม่สามารถปิดกั้นได้นาน การทำเช่นนั้น จะทำให้ล้าหลังเกินกว่าคนทั่วไปจะยอมทนได้
ต้องรอดูว่าเดิมพันครั้งนี้ จะต้องมีคนสังเวยชีวิตมากน้อยเพียงใด